ตกเป็นข่าวครึกโครมตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมกลุ่มนักล่าสัตว์ จำนวน 9 คน ขณะเข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่า พร้อมของกลางซากสัตว์ อาวุธ และอุปกรณ์การล่าสัตว์เป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในกลุ่มนักล่าสัตว์นั้น มี พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี สว.สส.สภ.ปราณบุรี รวมอยู่ด้วย แต่ทว่าภายหลังชื่อของ พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี กลับไม่ได้ถูกแจ้งข้อหาร่วมกระทำความผิด มีและพาอาวุธปืนยิงปืน ล่าสัตว์ ครอบครองซากสัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาต และล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เหมือนอีก 8 คนที่เหลือ ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกคลางแคลงใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
เช่นนั้นแล้ว รายการเจาะข่าวเด่น เมื่อวันอังคารที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จึงได้เชิญ
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มาถามไถ่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดย นายชัยวัฒน์ ระบุว่า
คนที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมมีทั้งหมด 9 คน ซึ่งจุดที่เจ้าหน้าที่พบกลุ่มนักล่าสัตว์นั้นอยู่กลางป่าลึก ห่างจากที่ทำการฯ 23 กิโลเมตร เกือบถึงชายแดนจังหวัดราชบุรี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าคนกลุ่มนี้ชอบเข้ามาล่าสัตว์ จึงได้พยายามจับกุมมา 2-3 ครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ เพราะพื้นที่ป่ามันกว้างมาก ส่วนการข่าวที่ได้มาก็ทราบแล้วว่าในกลุ่มนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมอยู่ด้วย โดยตอนแรกเข้าใจว่าเป็นตำรวจทางหลวง และเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า 2 คน
สำหรับเหตุการณ์ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ วางแผนเข้าจับกุมกลุ่มนักล่าสัตว์นั้น นายชัยวัฒน์ เล่าว่า
สาย ข่าวได้ตรวจสอบพบว่ามีเรือนักล่าสัตว์แล่นออกมาในตอนเช้า ตนจึงนั่งเรือไปกับเจ้าหน้าที่ เพื่อจะไปสกัดจับตรงท่าลิงลม เพราะมั่นใจว่าพวกเขาต้องขึ้นท่าตรงนั้น เนื่องจากมีรถจอดรออยู่ และก็วางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้ 2 จุด แต่ทว่าก็ไปไม่ทัน คลาดกันไปเพียง 5 นาที
จึง ได้ประสานไปยังตำรวจ สภ.แก่งกระจาน ให้ตั้งด่านสกัด และในที่สุดก็สกัดจับรถได้ 2 คันที่บริเวณภายนอกอุทยานฯ และจับกุมนักล่าสัตว์ 3 คน พร้อมซากสัตว์ส่วนหนึ่งและอาวุธปืน
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เล่าต่อว่า
หลัง จากตรวจสอบแล้ว ก็รู้ว่ารถ 2 คัน และนักล่าสัตว์ 3 คนที่สกัดจับได้ ไม่ตรงตามที่สายข่าวแจ้งมา จึงรีบกลับมาที่อุทยานฯ นำเจ้าหน้าที่ 15 คนนั่งเรือกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง พร้อมวางแผนปิดปากห้วย และเส้นทางพราน 2 จุด ก่อนจะเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร แต่ก็ไม่เจอใคร
กระทั่งวันที่ 9 พฤศจิกายน นายชัยวัฒน์ ได้เข้าไปหาลุงเส้า พรานเก่าซึ่งรู้เส้นทางป่าเป็นอย่างดีว่ามีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่ แต่ลุงเส้ากลับมีอาการลุกลี้ลุนลนและมีพิรุธ เขาจึงพยายามตะล่อมถามให้ช่วยบอก แต่ลุงเส้ากลับพยายามจะหนี เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าจับกุมทันที และเกลี้ยกล่อมให้ลุงเส้าเปิดเผยข้อมูล ลุงเส้าจึงยอมให้ความร่วมมือ โดยยอมรับว่า ตัวเองเป็นคนชี้จุดบอกเส้นทางให้กลุ่มนักล่าสัตว์เข้าไป
จากนั้น เจ้า หน้าที่จึงได้เดินเท้าเข้าไปยังจุดที่ลุงเส้าชี้เบาะแสให้ และก็พบกับแคมป์ไฟ ที่ตั้งปิ้งย่างของนักล่าสัตว์ แต่ภาพที่ทำให้เจ้าหน้าที่รู้สึกสลดหดหู่มากที่สุดคือ ซากสัตว์จำนวนมากที่เกลื่อนกลาดกระจัดกระจายไปหมดราวกับสัตว์เหล่านี้เป็น สิ่งไม่มีค่า แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่พบใคร ณ จุดนั้น จึงวางแผนต่อว่าจะเอาอย่างไรต่อดี เพราะไม่ทราบว่า นักล่าสัตว์จะเดินขึ้นไปข้างหน้า หรือเดินกลับลงมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่เดินลัดทางมา แต่ที่สำคัญคือ เสบียงที่พกมาเหลือเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 4 ห่อ ซึ่งไม่เพียงพอกับคน 15 คนแน่นอน แต่ทว่าทุกคนก็ยืนกรานว่าจะเดินหน้าจับนักล่าสัตว์ให้ได้ โดยยอมตายดีกว่าปล่อยให้คนมารุกรานธรรมชาติแบบนี้
ทั้งนี้ หลังจากการวางแผนประชุม เจ้าหน้าที่ก็ไปตรวจสอบใยแมงมุมที่ชักใยไว้ตรงบริเวณขาลง และเมื่อเห็นว่าใยแมงมุมไม่ได้ขาด แสดงว่ากลุ่มนักล่าสัตว์ยังไม่ได้ลงมาข้างล่าง แต่ขึ้นไปข้างบนอีก เจ้าหน้าที่จึงวางกำลังปิดทางออกไว้ พร้อมกับเรียกกำลังเสริมให้มาช่วยปิดทางออกทั้งหมด และรออยู่บริเวณนั้น 1 คืน
กระทั่งวันที่ 10 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 22.20 น. เจ้าหน้าที่เห็นแสงไฟที่กลุ่มนักล่าสัตว์ส่องมาจากในเรือ ทุกคนรู้แล้วว่าเป้าหมายมาแล้ว จึงวางแผนไว้อย่างรัดกุม เพราะทราบดีว่าเป้าหมายมีอาวุธ นายชัยวัฒน์ เป็นคนแรกที่ฉายไฟและตะโกนให้กลุ่มนักล่าสัตว์วางอาวุธ ขณะที่ลูกน้องอีก 5-6 คนก็ส่องไฟไปที่เรือของนักล่าสัตว์พร้อม ๆ กัน ทำทีให้เหมือนว่ามีเจ้าหน้าที่ซุ่มอยู่จำนวนมาก ทั้งที่จริง ๆ มากันเพียง 5-6 คนเท่านั้น และในที่สุดกลุ่มนักล่าสัตว์ในเรือลำแรกซึ่งมากัน 4 คน ก็ยอมให้จับกุมแต่โดยดี โดยไม่มีการปะทะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเรือลำที่ 2 และ 3 ที่แล่นตามมา ก็ยอมให้จับกุมเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม
ประเด็นสำคัญที่คนคลางแคลงใจก็คือ ในกลุ่มนักล่าสัตว์ 9 คน กลับมีคนถูกแจ้งข้อหาล่าสัตว์เพียง 8 คนเท่านั้น ส่วน พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี สว.สส.สภ.ปราณบุรี ที่ถูกจับด้วยกัน กลับถูกสั่งปรับแค่ 1,000 บาท แล้วปล่อยตัวไป ซึ่งเรื่องนี้ นายชัยวัฒน์ ชี้แจงว่า
ในระหว่างที่ลูกน้องทำสำนวน มี 8 คนที่ยอมรับว่าของกลางที่ยึดมาได้เป็นของพวกเขา แต่ พ.ต.ท.ธีรยุทธ อ้างว่าตัวเองไม่เกี่ยว แค่มาเจอกันในป่าตอนขากลับ จึงได้แต่อาศัยมากับเรือเท่านั้น ซึ่ง อีก 8 คนก็ให้การตรงกันว่าไม่รู้จัก พ.ต.ท.ธีรยุทธ เจ้าหน้าที่จึงทำได้แค่ปรับ 1,000 บาทกับนายตำรวจใหญ่เท่านั้น เพราะทุกคนให้การตรงกัน แม้จริง ๆ เจ้าหน้าที่จะทราบอยู่แล้วว่า กลุ่มนักล่าสัตว์พยายามเลี่ยงบาลี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ นายชัยวัฒน์ จึงได้ทำหนังสือส่งถึง ผกก.สภ.แก่งกระจาน ให้ตรวจสอบด้วยว่า อาวุธ ปืนที่ยึดได้มีกระบอกไหนเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ธีรยุทธ หรือไม่ เพื่อจะได้แจ้งข้อหาเพิ่ม ก่อนที่ภายหลังเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จะพบภาพถ่าย พ.ต.ท.ธีรยุทธ นั่งล้อมวงแคมป์ไฟและมีอาวุธปืนวางอยู่บนหน้าตักด้วย โดยหลักฐานภาพถ่ายทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ธีรยุทธ อยู่ร่วมขบวนการล่าสัตว์ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาเจอกับกลุ่มนักล่าสัตว์ในขากลับอย่างที่โกหกในตอนแรก เจ้าหน้าที่อุทยานฯ จึงได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมว่า พ.ต.ท.ธีรยุทธ เป็น 1 ใน 9 ของคนที่เข้าไปล่าสัตว์ด้วยแน่นอน
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยอมรับว่า
ในตอนแรกเขาก็ถูกครหาเหมือนกันว่า ทำไมจึงไม่แจ้งข้อหา พ.ต.ท.ธีรยุทธ ตั้งแต่แรก ซึ่งก็เป็นเพราะ พ.ต.ท.ธีรยุทธ เป็นตำรวจ และเขาก็ถูกฟ้องร้องบ่อย ๆ จากคดีลักษณะนี้
จึงต้องทำอย่างรัดกุม และอาศัยให้สื่อมวลชนช่วยด้วย จึงได้จัดแถลงข่าวจับกุมขบวนการล่าสัตว์ เพื่อจะได้เป็นข่าวและทำให้คนในสังคมสนใจคดีนี้
ทั้งนี้ ในตอนท้าย นายชัยวัฒน์ ยืนยันว่า ไม่ คิดจะปล่อยนายตำรวจใหญ่ให้ลอยนวลแน่นอน แต่ในวันจับกุม นายตำรวจอ้างมาแบบนั้น เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ซึ่งไม่มีอำนาจแจ้งข้อกล่าวหาใด ๆ เพราะเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงทำได้เพียงแค่นี้ แต่วันนี้ เขาสามารถกล่าวโทษต่อ พ.ต.ท.ธีรยุทธ ได้แล้ว เพราะมีภาพถ่ายยืนยันเป็นหลักฐาน โดยไม่ต้องรอตรวจสอบอาวุธปืน
ข้อมูลจากกระปุกดอทคอม
Login with facebook
เจาะข่าวเด่น...เปิดแผนล้อมจับขบวนการนักล่าสัตว์ป่าแก่งกระจาน
