ว่อนเน็ต ภาพเลือดสีชมพูจาก ยาลดความอ้วน แพทย์ชี้เพราะเม็ดเลือดแดงแตก เหตุ “กินยาปฏิชีวนะ
2016-02-24 18:39:28
Advertisement
คลิก!!!

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้โลกออนไลน์มีการแชร์ภาพจากทวิตเตอร์ โดยโพสต์ภาพเกี่ยวกับเลือดของคนไข้รายหนึ่งเป็นสีชมพู โดยระบุว่ามีสาหตุมาจากการกินยาดีท็อกซ์ลดความอ้วนติดต่อกันนาน 2 เดือน ก่อนมีอาการปวดท้องรุนแรงจนต้องเข้ามารักษาที่โรงพยาบาล และพบอาการแทรกซ้อนหลายอย่าง ล่าสุดได้เสียชีวิตลงนั้น ซึ่งหลังจากมีการแชร์ภาพนี้ออกไปปรากฎว่าเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งในเฟซบุ๊คของ “ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน” ได้มีการแพร่ภาพดังกล่าวเช่นกัน และระบุว่า ยาดีท็อกซ์มีส่วนผสมของสมุนไพรมีอันตรายที่หลายคนคาดไม่ถึง โดยเฉพาะมีสว่นผสมของมะขามแขก ซึ่งดูเหมือนสมุนไพรธรรมดา แต่สรรพคุณเป็นยาระบาย ไม่ใช่ยาลดความอ้วน กินไปมากๆ เสียน้ำเสียเกลือแร่จนหมดเรี่ยวหมดแรง ระบบขับถ่ายเสียหมด ที่สำคัญไม่อาจรู้ว่ามันมีสารอันตรายอะไรบ้างที่ส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว และอาจส่งผลต่อตับพังอีกด้วย

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นพ.ธานินทร์ อินทรกำธรชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา และหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ภาวะเลือดสีชมพูเป็นเพราะเม็ดเลือดแดงแตก แต่ในเรื่องนี้ทางการแพทย์ยังไม่เคยพบหลักฐานว่าสมุนไพรเป็นสาเหตุในการทำให้เม็ดเลือดแดงแตก มีแต่การรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดบางชนิด ยารักษาโรคความดัน และยารักษาโรคหัวใจ รวมถึงยาหรืออาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารกลูตาไธโอน หากรับประทานในปริมาณมาก และยาวนานอาจจะมีผลทำให้ตัวคุ้มครองเม็ดเลือดแดงไม่แข็งแรงจนเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกง่าย ซึ่งจะสามารถเห็นขั้นตอนนี้ได้เมื่อมีการนำเลือดไปปั่นเพื่อแยกพลาสมาดู และวินิจฉัยเพื่อการรักษาโรค แต่กลับพบว่าพบพลาสมากลายเป็นสีชมพู ทั้งๆ ที่ปกติควรจะเป็นสีใส หรือสีขาว

“สำหรับผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจะมีสัญญาณเตือนแสดงออกมา เช่น เหนื่อยง่าย เดินไม่ไหว คล้ายจะเป็นลม ถ้าปกติแล้วในผู้หญิงจะมีระดับฮีโมโกลบินอยู่ที่ประมาณ 12 ต่อกรัมเปอร์เซ็นต์ หากลดลงต่ำกว่านี้ราว 7-8 กรัมเปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้เกิดอาการดังกล่าว แต่เมื่อมีการหยุดยาที่จะไปเป็นตัวทำลายเม็ดเลือดแดง อาการเหล่านี้จะหายไปได้เองภายใน 5-7 วัน ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เว้นแต่ว่าจะมีอาการหนักให้รีบไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม อาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลจะพบได้น้อยมากเฉลี่ย 1 รายต่อปี ซึ่งไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต” นพ.ธานินทร์ กล่าว

 

ภาพประกอบจาก เฟซบุ๊คของ “ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน”

ที่มา  มติชนออนไลน์

 

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X