เอเจนซี่ใหญ่และเอเจนซี่เล็กในวงการ K-pop กับช่องว่างความมั่งคั่งทางการเงินที่กว้างขึ้น
2024-05-20 12:37:26
Advertisement
คลิก!!!

ในอุตสาหกรรม K-pop ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ความแตกต่างทางการเงินระหว่างเอเจนซี่ขนาดใหญ่และเล็กเริ่มเด่นชัดมากขึ้น

 

ก่อนหน้านี้ มิวสิกวิดีโอดี ๆ มีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 150-200 ล้านวอน (ราว 4 – 5 ล้านบาท) แต่ในปัจจุบัน ต้นทุนเหล่านั้นเพิ่มสูงขึ้นเป็น 400-500 ล้านวอน (ราว 10  – 13 ล้านบาท) โดยบางโปรเจ็กต์อาจสูงถึง 800 ล้านถึง 1 พันล้านวอน (ราว 21 - 26  ล้านบาท) เลยทีเดียว

 

มินฮีจิน (Min Hee-jin) ซีอีโอของค่าย Ador เน้นย้ำถึงการต่อสู้ของบริษัทขนาดเล็ก โดยเคยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า

“อย่าเขียนข่าวประชาสัมพันธ์จากบริษัทใหญ่ ๆ เช่น HYBE เท่านั้น แต่ให้เขียนเกี่ยวกับบริษัทขนาดเล็กและกำลังดิ้นรนอย่าง Ador ด้วย บริษัทที่ยากจนจริง ๆ อย่างเราไม่สามารถจะผลิตมิวสิควิดีโอสามเพลงให้กับวงหน้าใหม่อย่าง NewJeans ได้”

 

 

อี เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของค่าย ซึ่งทำงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวง K-pop มาเกือบทศวรรษ แสดงความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการผลิตผลงาน

“ทุกวันนี้ คุณต้องพิจารณาตลาดต่างประเทศตั้งแต่เดบิวต์ ดังนั้นการผลิตมิวสิควิดีโอคุณภาพสูงจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น” อีกล่าว “การผลิตมิวสิกวิดีโอเพียงเพลงเดียวต่ออัลบั้มไม่สามารถแข่งขันกับวงที่ผลิตหลายเพลงได้ มันทำให้เกิดปรากฏการณ์ 'รวยก็ยิ่งรวย จนก็ยิ่งจน' ครับ”

 

คิม เจ้าหน้าที่แผนกการผลิตของบริษัท K-pop รายใหญ่กล่าวว่า “เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ต้นทุนการผลิตมิวสิกวิดีโอดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์”

 

ต้นทุนการผลิตมิวสิกวิดีโอที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายด้านวัสดุและแรงงานที่เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการพึ่งพาฉากที่ประณีต คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่น ๆ มากมาย

“ก่อนเกิดโรคระบาด แต่ละฉากมีราคาประมาณ 30 ล้านวอน (ราว 8 แสนบาท) แต่ตอนนี้ฉากที่คล้ายกันมีราคาประมาณ 50 ล้านวอน (ราว 1.3 ล้านบาท) การใช้ห้าหรือหกฉากสำหรับมิวสิกวิดีโอเพลงจึงมีราคาอย่างน้อย 500 ล้านวอน (ราว 13 ล้านบาท)” อี กล่าว

 

ในความเป็นจริง จอนโซยอน (Jeon So-yeon) หัวหน้าวงเกิร์ลกรุ๊ป (G)I-DLE เคยเปิดเผยว่าการผลิตมิวสิกวิดีโอเพลง “Super Lady” มีมูลค่ามากถึง 1.1 พันล้านวอน (ราว 30 ล้านบาท)

 

 

ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายพุ่งสูงขึ้น

เมื่อตลาด K-pop ขยายตัว ต้นทุนการผลิตอัลบั้มก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการผลิตเพลง การผลิตซีดี และการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ต้นทุนส่งเสริมการขายก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

 

นอกจากมิวสิกวิดีโอแล้ว ยังมีวิดีโอโปรโมตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงรายการวาไรตี้ที่มีสมาชิกไปเข้าร่วมและเนื้อหา TikTok ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโปรโมต 

 

ค่าฝึกอบรม ค่าบริหารจัดการ ค่าแรง และค่าเช่าห้องฝึกซ้อมและหอพักก็เพิ่มขึ้น 30-50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

 

ด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว จึงกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นสำหรับวงหน้าใหม่ที่จะประสบความสำเร็จโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากต้นสังกัดหรือการส่งเสริมการขายจากรายการออดิชั่นทางทีวี

 

คนในวงการทราบว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การเปิดตัววงน้องใหม่มีค่าใช้จ่ายประมาณ 3 พันล้านวอน (ราว 80 ล้านบาท) แต่ตอนนี้ต้องใช้เงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านวอน (ราว 268 ล้านบาท) ถึงจะลองทำขึ้นมาได้

 

เจ้าหน้าที่ของเอเจนซี่ K-pop ขนาดกลางกล่าวว่า “สำหรับวงน้องใหม่ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก การทำซิงเกิ้ลหรือมินิอัลบั้มถึงสี่ชุดมักจะหมายถึงการขาดทุน แม้จะเริ่มต้นด้วยเงินทุน 1หมื่นล้านวอน แต่มันก็ท้าทายที่จะประคับประคองไว้จนถึงอัลบั้มที่สี่ได้”

 

ความสำเร็จนั้นยากจะเข้าใจแม้จะมีการลงทุนมหาศาลก็ตาม

มันกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นสำหรับวงใหม่ ๆ ที่จะดึงดูดความสนใจ เว้นแต่พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากเอเจนซี่หรือได้เข้าร่วมรายการออดิชั่นทางทีวี

 

อย่างไรก็ตาม แม้แต่การลงทุนมากกว่า 1หมื่นล้านวอน ในการผลิตหรือการปรากฏตัวในรายการออดิชั่นก็ไม่ได้รับประกันความสำเร็จ

 

F&F Entertainment ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทแฟชั่นขนาดกลาง F&F ได้ลงทุนประมาณ 1หมื่นล้านวอน เพื่อเปิดตัวเกิร์ลกรุ๊ปที่ชื่อ UN1VERSE ผ่านทางรายการออดิชั่น “Universe Ticket” ที่ร่วมอำนวยการสร้างโดย SBS แม้จะมีการลงทุนจำนวนมากแต่วงก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น

 

 

ในทำนองเดียวกัน เกิร์ลกรุ๊ป mimiirose ซึ่งมีรายงานว่าผลิตด้วยเงินลงทุนประมาณ 2 หมื่นล้านวอน (ราว 537 ล้านบาท) โดยนักร้อง อิมชางจอง (Lim Chang-jung) ได้สิ้นสุดสัญญากับต้นสังกัดเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงปีกว่า ๆ หลังจากเดบิวต์ เนื่องจากเจอกับผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง

“เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและตลาด K-pop  ถูกครอบงำโดยเอเจนซี่ขนาดใหญ่ จึงเป็นเรื่องยากมากขึ้นสำหรับบริษัทโปรดักชั่นใหม่หรือขนาดเล็กที่จะประสบความสำเร็จ” คังแทกยู (Kang Tae-gyu) นักวิจารณ์วัฒนธรรมกล่าว

 

 

ช่องว่างดังกล่าวกำลังกว้างขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ในกลุ่มเอเจนซี่ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ก็ตาม

รายได้ของบริษัทชั้นนำ เช่น HYBE, SM, JYP และ YG Entertainment เพิ่มขึ้นจาก 100 พันล้าน (ราว 2.6 หมื่นล้านบาท) เป็น 600 พันล้านวอน (ราว 1.6 แสนล้านบาท) ในปี 2019 โดยใช้เวลาเติบโตเพียงสี่ปีเท่านั้น

 

ในทางตรงกันข้าม เอเจนซี่ขนาดกลางที่แม้ว่าบางแห่งจะมีการเติบโตสามถึงสี่เท่า แต่พวกเขาก็ยังต้องพยายามดิ้นรนเพื่อตามให้ทัน ยกเว้น Starship Entertainment ซึ่งมีรายรับถึง 200 พันล้านวอน (5.3 หมื่นล้านบาท) ส่วนบริษัทอื่น ๆ ยังคงต่ำกว่า 100 พันล้านวอน (ราว 2.6 หมื่นล้านบาท)

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X