ไม่ใช่แค่คนไทยที่ให้ความสำคัญ แต่คนชาติอื่นๆ ก็มีความสนใจไม่แพ้คนไทย เช่น ชาวอียิปต์โบราณรู้จักประโยชน์ของงามากกว่า 4,000 ปี โดยเฉพาะเป็นส่วนผสมในเครื่องประทินผิว ชาวจีนเปรียบเทียบว่า"งา" มีค่าประหนึ่งหยก ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ชาวชมพูทวีปใช้งาเป็นยาโด๊ปบำรุงร่างกายกระตุ้นกำหนัด ช่วยขับน้ำนม ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว รักษาโรคเก๊าท์ โรคตา สมานกระเพาะลำไส้ แก้ท้องเสีย รักษาแผลริดสีดวงทวาร และยังช่วยบำรุงผิว ชโลมทั่วแทรกซึมถึงผิวภายในจะช่วยบำรุงกระดูก ถ้านวดด้วยน้ำมันงาตั้งแต่หัวจรดเท้าในตอนเช้า หรือสูดไอหอมระเหยจะช่วยทำให้จิตใจสงบ 

ดูเอาเถิด พลังของเมล็ดจิ๋วๆ พวกนี้... 
ธาตุเหล็กก็มีมากในงาช่วยบำรุงเลือด ธาตุไอโอดีนป้องกันโรคคอพอก ธาตุสังกะสีบำรุงผิวหนัง แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน เฉพาะแคลเซี่ยม มีในเมล็ดงามากว่าพืชประเภทต่างๆ ถึง 40 เท่า ส่วนฟอสฟอรัสก็มากกว่าพืชอื่นๆ ถึง 20 เท่า แร่ธาตุสองตัวนี้เหมาะเหลือเกินสำหรับผู้หญิงที่กำลังจะเข้าวัยหมดประจำเดือน แต่ต้องบริโภคแบบแฝด คือรับประทานคู่กับถั่วเหลืองเพื่อให้ต่างเรื่องการดูดซึมซึ่งกันและกัน 

ยังไม่หมด...ในงา ยังอุดมด้วยวิตามินบี ไบโอติน โคลินไอโนสิตอล กรดพราราอะมิโนแบนโซอิค เรียกว่ามีวิตามินบีครบถ้วน ยกเว้นวิตามินบี 12 ซึ่งมีในถั่วเหลือง...ใครๆ ก็รู้ว่า วิตามินบีช่วยบำรุงประสาท 

คนที่เป็นโรคผมหงอกก่อนวัย ถ้าได้บริโภคน้ำมันงาเป็นประจำ จะช่วยให้ผมดกดำเป็นเงางาม ไม่แห้งแตกปลาย ไม่ต้องง้อสารพัดแชมพูที่บ้าโฆษณาจนน่ากลัวอย่างทุกวันนี้ 

ชีวิตปกติจะให้กินงาดิบ หรืองาถั่วก็คงจะยาก ส่วนจะหางาที่ผสมในอาหารยิ่งยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรถ้าไม่ใช่ฤดูกินเจ เพราะฉะนั้น ที่ง่ายที่สุดก็คือบริโภคงาในรูปของน้ำมันงา 

การสกัดน้ำมันงามี 2 วิธี คือน้ำมันดิบที่บีบได้จากงาดิบ และน้ำมันงาสุกที่ได้จากงาที่คั่วสุกแล้ว เป็นสีน้ำตาลแดง กลิ่นหอม นิยมใช้ปรุงอาหาร แต่น้ำมันงาขวดกระจิดริดก็ราคาแพงไม่เบา แม่บ้านที่ไม่ใช่เวิร์คกิ้งวูแมนประเภทหญิงมั่น ก็สามารถผลิตน้ำมันงาเองได้ 

ระวังไว้อย่างเดียว ถ้าเป็นงาถั่วก็ต้องหมั่นพลิกตะหลิวกลับให้ร้อนทั่ว แล้วก็อย่าตั้งกะทะถั่วพร้อมถั่ว 
เพราะกว่าถั่วจะสุก...งาก็จะไม่เสียก่อน

ที่มา  http://siamdara.com/