“แอนตี้ลูกคนรวย” กระแสใหม่ “เดอะ สตางค์”
2013-04-04 13:46:19
Advertisement
คลิก!!!

 

“แอนตี้ลูกคนรวย” กลายเป็นกระแสล่ามาแรงในสังคมออนไลน์ขณะนี้เสียแล้ว หลังจากผลการประกวดเดอะ สตาร์ในสัปดาห์ที่ 4 หรือวันเสาร์ที่ผ่านมา ประกาศให้ “แบมบี้” ได้ไปต่อ และปล่อยให้ชายหนุ่มอีก 2 คนคือ “บูรณ์และดิว” ตกรอบไปตามระเบียบ คนที่ไม่ได้ติดตามอาจงงๆ ว่าไม่เห็นมีอะไรต้องดรามา ก็แค่คนที่ได้รับการโหวตน้อยกว่าต้องยอมรับชะตากรรม แต่คนที่ตามดูมาทุกอาทิตย์ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ต้องเกี่ยวข้องกับเงินในกระเป๋าของครอบครัวแบมบี้ ซึ่งมีดีกรีเป็นถึง “ลูกสาวนางสาวไทย” อย่างแน่นอน 
        
       คล้อยหลังวันประกาศผลได้วันเดียว ผู้ชมที่ไม่เห็นด้วยกับผลการโหวตถึงกับตั้งเพจแอนตี้แบมบี้บนเฟซบุ๊กขึ้นมากว่า 10 เพจ โดยมีเพจ “Anti แบมบี้ The Star 9” ที่มีคนกดไลค์มากที่สุดถึงเกือบทะลุ 80,000 ไลค์แล้ว แม้แต่ “พจน์ อานนท์” เองยังยอมรับผลที่ออกมาไม่ได้ ขอออกโรงแขวะแรงๆ ผ่านอินสตาแกรมในฐานะแฟนเดอะ สตาร์ตัวจริงว่า “ปีหน้าจะจัดประกวด เดอะ สตางค์ ครับ รับเฉพาะคนมีสตางค์ คนจนไม่รับเพราะเดี๋ยวไม่มีสตางค์มาโหวต 555” 
       
       
 
 

       
       
 
       
       80,000 ไลค์บนเฟซบุ๊ก โห่ไล่ลูกคนรวย!!
       “คนรวยทำอะไรๆ ก็ดูดี” คงเป็นคำพูดที่ใช้ไม่ได้กับกรณีของเธอ “แบมบี้-สิรินโสพิศ ปัจฉิมสวัสดิ์” ผู้เข้ารอบ 4 คนสุดท้ายจากเวที The Star 9 เพราะถ้าฐานะทางบ้านของเธอไม่ได้โดดเด้งและไม่ได้มีคุณแม่เป็น “สาวิณี ปะการะนัง” อดีตนางสาวไทยปี 2527 เธอคงไม่ถูกกล่าวหาด้วยกระแสแรงๆ เมาท์กันสนั่นเน็ตให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งอยู่ ณ ตอนนี้ว่า “ที่เข้ารอบได้เพราะแม่ทุ่มโหวต-ยัดเงินล่ะสิ” 
        
       
       ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลอดสัปดาห์การประกวดที่ผ่านมา ผลงานของแบมบี้ไม่สู้จะเข้าตากรรมการ รวมถึงคนดูทางบ้านสักเท่าไหร่ หลายคนวิพากย์วิจารณ์เป็นเสียงเดียวกันว่า เธอยังร้องเสียงแข็งและคร่อมคีย์อยู่มาก เทียบกับผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ แล้ว ถือว่าคะแนนนิยมน่าจะต่ำกว่าเพื่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด เมื่อการประกวดในวันเสาร์ที่ผ่านมาเดินทางมาถึง โชว์ของเธอก็ยังคงดูขัดๆ เขินๆ กระทั่งผลโหวตในนาทีสุดท้ายประกาศออกมาว่า “แบมบี้ยินดีด้วย คุณได้ไปต่อ” ส่วนเพื่อนร่วมเวทีอีกสองคนซึ่งก็คือ “บูรณ์-ธันยบูรณ์ วงศ์วาสิน” และ “ดิว-นัทธพงศ์ พรมสิงห์” ซึ่งโชว์ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดีตลอดทุกสัปดาห์ ต้องตกรอบไป จึงสร้างกระแสช็อค!! ร้องเป็นเสียงเดียวกันด้วยความสงสัยว่า “เป็นไปได้ไง?!?”
         
แบมบี้ The Star 9
 
 
       
       เมื่อผลออกมาแบบนี้ นักเลงคีย์บอร์ดจึงเริ่มหาที่ระบายความในใจ หยิบเอา “ดิว-นัทธพงศ์” ซึ่งมีฐานแฟนคลับอยู่ค่อนข้างมากมาเป็นกรณีเปรียบเทียบ และตั้งข้อสงสัยว่าที่ดิวต้องออกไป แต่แบมบี้ยังอยู่ คงเป็นเพราะฐานะทางบ้าน สถานะทางการเงินของดิวสู้แบมบี้ไม่ได้นั่นเอง ตามประวัติเบื้องต้นของดิวที่เข้ามาประกวดเพื่อตามหาฝันและต้องการแบ่งเบาภาระให้คุณแม่ 
 
       ด้วยกรอบความคิดแบบนี้ จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยหันมาแอนตี้แบมบี้อย่างจริงจัง เพราะคิดว่าเธอเข้ารอบได้ด้วยการทุ่มซื้อโหวตของคุณแม่ตัวเอง เกิดกลายเป็นเพจ “แอนตี้แบมบี้” ภายหลังประกาศผลเพียงวันเดียวผุดขึ้นมาบนเฟซบุ๊กกว่า 10 เพจ โดยมีเพจ “Anti แบมบี้ The Star 9” เป็นเพจที่มีคนกดไลค์มากที่สุดเกือบทะลุ 80,000 ไลค์เข้าไปแล้ว!! ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
         
       นี่ยังไม่รวมถ้อยคำแรงๆ สารพัดสารเพที่สื่อความหมายไปในทิศทางที่ว่า ถ้าเดอะ สตาร์เปลี่ยนจาก “โหวตเชียร์” เป็น “โหวตออก” เมื่อไหร่ จะยินดีทุ่มเงินทั้งหมดโหวตให้แบมบี้ตกรอบทันที 
       
       
 
 
 
       
       เดอะ สตาร์ VS เดอะ สตางค์
       เมื่อกระแสเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในคอมเมนต์เตเตอร์อย่าง “ม้า-อรนภา กฤษฎี” ก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวหรือโดนใบสั่งให้ออกมาแก้ต่างกันแน่ แต่เธอก็แสดงความคิดเห็นเอาไว้อย่างชัดเจนว่า รายการนี้ไม่เกี่ยวกับจนหรือรวย แต่เกี่ยวกับโหวต แค่นั้นจบ
        
       
       “ก็เห็นด้วยในคอมเมนต์ แต่ตอนน้องมา คัดเลือกน้องดีจริงๆ ไม่ได้มองที่รวยจน พอมาแข่ง เราก็ป้อนให้หมดแล้ว น้องก็ทำได้แค่นี้ ก็ไม่เลว แต่ไม่ถูกใจ ที่อยู่ได้แม่ก็คงมีส่วน แม่ทุกคนก็รักลูกของตัวเอง เผอิญแม่มีเงิน ทำไงได้ล่ะ ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง อ้นก็จนพอๆ กับดิว ทำไมรอดล่ะ น้องดีก็ไม่ได้ดีไปกว่าดิว ตั้มยิ่งแล้วไปใหญ่ แต่ทุกคนก็ผ่าน เพราะเขามีแรงมหาชนโหวตกระหน่ำ 
         
       
       ดิฉันเองก็กลัวน้องดีและอ้นไม่รอด ยังโหวตเลยค่ะ อย่ารู้เลยนะคะว่าหมดไปเท่าไหร่ พวกคุณโหวตดิวแบบสุดๆ หรือเปล่าคะ รายการเราตัดสินกันด้วยโหวตค่ะ ลืมไปแล้วเหรอคะ คนที่เป็น The Star ทุกคนที่ผ่านมา ไม่มีใครพ่อแม่รวยเลย ถ้าคุณมีของ จะรวยจะจน กรรมการทั้ง 3 ให้โอกาสคุณเสมอ และทุกคนก็ประสบความสำเร็จ เป็นรายการเดียวที่มีคนอยากมาคว้าโอกาสเยอะที่สุด” 
         
       
       ดูเหมือนถ้อยคำจากคอมเมนต์เตเตอร์ฝีปากกล้าต้องการบอกสังคมเป็นนัยๆ ว่า “ปลงตกเสียเถอะ การทุ่มโหวตของพ่อแม่เด็กๆ เป็นเรื่องปกติ” แต่ในอีกแง่หนึ่ง “พจน์ อานนท์” นักปั้นชื่อดัง ก็มีอีกมุมให้คนเสพรายการประเภทนี้ได้คิดกัน ด้วยการออกมาแขวะผลการประกวดและผู้เข้าแข่งขันแบบทีเล่นทีจริง ถึงแม้จะไม่ได้เขียนชื่อระบุให้รู้กันชัดๆ ว่ากำลังแขวะใคร แต่ข้อความภาพที่เขียนเอาไว้ในอินสตาแกรมก็กินความหมายครอบคลุมในตัวมันเองทั้งหมดแล้ว
         
       
       “ดู เดอะ สตาร์ แล้วอิน เชียร์ตั้ม ดี อ้น เขาเก่งจริง เสียงดี สงสารดิว แต่ไม่เป็นไร เป็นพระเอกก็ดังเหมือนกัน” 
        
       
       “เดอะ สตาร์ปีหน้า ต้องมีพวกร้องเพลงเพี้ยน ร้องคร่อมจังหวะ เสียงต่ำเสียงสูงเท่ากันหมดเป็นโมโนโทน เต้นผิดๆ ถูกๆ ร้องอีกเพลงเป็นอีกเพลง มาสมัครกันเยอะแน่เลย เพราะปีนี้ยังติด 1 ใน 8 ได้ แถมยังอยู่มาถึง 4 คนด้วย กูอายแทน 555555 พูดในฐานะแฟนรายการเดอะ สตาร์ตัวจริง”
       
       “ปีหน้าจะจัดประกวด เดอะ สตางค์ รับเฉพาะคนมีสตางค์ คนจนไม่รับ เพราะเดี๋ยวไม่มีสตางค์มาโหวต 555 อย่าลืมมาสมัครนะครับ คู่แข่ง เดอะ สตาร์” เขาโพสต์ระบายความรู้สึกเอาไว้แบบจัดเต็มถึง 3 ชุด
       
       
 
       
       เวทีนี้ ก็แค่ “ปาหี่” คนอยากดัง 
       ลองมองย้อนกลับไปช่วงเดอะ สตาร์ยุคแรกๆ ดู จะเห็นว่าภาพลักษณ์ของรายการเปลี่ยนไปจากเดิมมากอยู่เหมือนกัน จากซีซั่นแรกที่เปิดรับผู้เข้าประกวดโดยไม่สนใจเรื่องหน้าตาเลย เน้นความสามารถจนพูดได้เต็มปากว่าทุกคนคือตัวจริง โดยเฉพาะผู้ชนะเลิศอย่าง “สนธยา ชิตมณี” หรือ “สน เดอะ สตาร์” ที่คุณภาพคับแก้ว 
       แต่แล้วกระแสตอบรับกลับไม่ค่อยดี งานเพลงขายในตลาดหลักไม่ค่อยได้ ซีซั่นถัดๆ ไป ทางรายการจึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนให้เปิดรับผู้ประกวดที่มีจุดขายและหน้าตาพอไปวัดไปวาได้เพิ่มมากขึ้น บางคนโดดเด่นเรื่องเสียงร้อง บางคนมีเรื่องดรามาในชีวิต ต้องสู้เพื่อพ่อเพื่อแม่เพื่อความฝัน ช่วยเรียกคะแนนโหวตมาได้หลายขุม 
        
       
       กระทั่งยุคสมัยเปลี่ยนไป ลูกหลานคนดังเริ่มตบเท้ากันเข้ามาสมัคร มีฐานแฟนคลับหนาแน่นเพราะพื้นเพดี พูดจาสุภาพ หน้าตาน่ารัก เกิดกลายเป็นยุคแห่งลูกคนรวยครองเวทีอย่างทุกวันนี้ “ป๊อก-ทวิษย์ชญะ ตั้งสหะรังษี” เจ้าของค่ายเพลง Classy Records ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการเพลงขอบอกเลยว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของธุรกิจ Entertainment
        
 
 
       
       “มันเป็นสเต็ปที่ถูกพิสูจน์มาแล้วครับว่า ความเก่งมันทำเงินไม่ได้ อันนี้นับแค่ประเทศไทยของเรานะ ยังไม่ต้องพูดถึงชาติที่เขาพัฒนาแล้ว คนเรามันสมองฝ่อไปหมดแล้ว เขาบ้าคลั่งกันที่หน้าตา ความเก่งเนี่ยมาทีหลัง ต้องมีหน้าตาดึงดูดเพศตรงข้ามให้เข้ามาโหวตก่อน และจะยิ่งดีมากๆ เลยถ้าเราได้คนที่มีฐานะทางครอบครัวที่ดีอยู่แล้วให้เข้ามาอยู่ในระบบ เพราะถึงได้รางวัลที่หนึ่งมา ออกอัลบั้ม ถึงเพลงขายไม่ได้ เขาก็จะไม่เดือดร้อน เพราะพ่อแม่พร้อม support ตลอดอยู่แล้ว
        
       
       ผมไม่เรียกคนที่เข้ามาประกวดเวทีแบบนี้ว่าเป็น “ศิลปิน” แล้ว แต่ผมเรียกว่าเป็น “พรีเซ็นเตอร์” ที่ใช้ดึงคนดูให้เข้ามาคลั่ง เข้ามาซื้อนั่นซื้อนี่ตาม ส่วนพ่อแม่ของเด็กพวกนี้เขาไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว เขาอาจจะไม่ได้อยากให้ลูกเข้ามาโกยเงิน แต่แค่อยากมีศักดิ์มีศรี มีอำนาจในการต่อรองทางสังคมเพิ่มมากขึ้น พ่อแม่ก็พร้อมจะผลักเต็มที่ 
       บางรายถึงขั้นใช้เงินหว่านซื้อบัตรเติมเงินให้คนรู้จักไปกดโหวตให้ลูกตัวเอง และผมก็ไม่รู้จะมีอะไรมากกว่านั้นไหม อาจจะ lobby กันถึงขั้นเอาเงินให้กันหลังเวทีเลย เราก็มีสิทธิที่จะคิดไป เพราะบางคนก็ค้านกับความรู้สึกของคนดูมากๆ ไม่น่าจะเข้ารอบไปได้ลึกขนาดนั้น แต่ก็เข้าไปได้ ก็เลยอาจจะเกิดกระแสแอนตี้ขึ้นมา
        
       
       เทียบกับปีแรกๆ เวทีประกวดแบบนี้ทั่วโลกจะมีโมเดลเหมือนกันคือ มักเปิดด้วยภาพลักษณ์ที่ดีก่อน ออกตัวว่าเราจะหาคนที่เก่ง คนที่มีความสามารถจริงๆ ให้ได้ ชาติตระกูลหรือหน้าตาไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่มันก็จะได้แค่ซีซั่นนั้นแหละครับ พอผลตอบรับมันไม่ได้ถึงเป้า ที่สุดแล้วเวทีแบบนี้ก็ต้องย้อนกลับมาสู่เรื่องเดิมๆ รูปแบบก็เลยต้องเปลี่ยนไป แต่เปลี่ยนไปแบบแฝงๆ นะ เพราะเขาคงไม่กล้ามาพูดอย่างโจ่งแจ้งหรอกว่า ต่อไปนี้รายการเราจะเลือกรับคนจากหน้าตาแล้วนะ เขาคงไม่พูดถึงขนาดนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่รอดสายตาคนดูหรอกครับ ถ้าไม่ตาบอดก็จะเห็นเองว่าอะไรจริง อะไรปลอม” 
        
       
       คอทีวีส่วนหนึ่งเลิกดูรายการประกวดร้องเพลงกันไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า “เบื่อ” รายการแบบนี้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ มีแต่หลอกโกยกำไรจากผลโหวตของคนดู “กลายเป็นปาหี่ เป็นเวทีสำหรับลูกคนรวยที่อยากจะเข้ามาดัง เข้ามากอบโกยกัน แต่จะไปโทษเด็กก็ไม่ได้หรอก ต้องโทษคนดู โทษสังคม ผมว่าจริงๆ แล้วทางกองประกวดก็ไม่ควรเอาจุดอ่อนของสังคมมาหากินนะ มันควรจะต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ควรจะทำให้เห็นสิว่าหน้าตาอย่างเดียวเราไม่เลือกนะ รวยอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องมีความสามารถที่เด่นชัดด้วย ให้เห็นๆ ไปเลยว่าเก่งจริงๆ แต่นี่ไม่ พูดได้คำเดียว บ้านเรามันเสื่อมหมดแล้ว”
        
 
แบมบี้ The Star 9


 
 
       
       จะหาเวทีประกวดร้องเพลงที่ตั้งใจเฟ้นหาคนเสียงดีมีคุณภาพจริงๆ ทุกวันนี้ บอกเลยว่าหายาก เพราะคนเหล่านั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้ามาตั้งแต่เปิดรับสมัครด่านแรกแล้ว “แต่เขาเลือกจากลูกคนรวย ลูกนางงาม ลูกนักการเมือง อะไรก็ว่าไป หาไม่ได้อีกแล้วครับ ยุคที่นักร้องเสียงดีมีความสามารถจริงๆ จะเดินทางมาจากบ้านนอกเข้ามาในเมืองกรุง ประกวดแล้วโด่งดังเหมือนอย่างยุค “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ไอ้ประเภทจบ ป.4 แต่มีความสามารถมาก มีเสียงสวรรค์เหมือนสุนารี มันคงไม่มีแล้วล่ะครับ” เจ้าของค่าย Classy Records พูดด้วยน้ำเสียงปลงตก ก่อนปิดท้ายให้เห็นความจริงของโลกมายาวันนี้กับรายการแบบนี้เอาไว้ว่า 
       
       “ถ้าจะหาศิลปินที่เก่งๆ จริงๆ อย่างผมเป็นเจ้าของค่ายเพลง ผมไม่มานั่งหาด้วยวิธีการประกวดแบบนี้หรอกครับ ไม่จำเป็นเลย เสียเวลา ผมไปนั่งเสิร์ชดูตามยูทูปดีกว่า เก่งจริงก็เรียกพ่อแม่มาคุยกัน ตกลงได้ก็เซ็นสัญญาก็จบแล้ว ดูในยูทูปมันเห็นชัดไปเลยว่าเขามีความเก่งกาจอยู่แล้ว แต่ถามว่าทำไมเขาต้องสร้างรายการขึ้นมาเฟ้นหานักร้องให้มันวุ่นวายขนาดนี้ แสดงว่าเงินตอบแทนมันต้องมหาศาล มันคงต้องเป็นวาไรตี้ปาหี่ที่มีเงินเข้ามาเยอะมากแน่ๆ เลย และเงินพวกนั้นก็มาจากมือคนดูนี่แหละครับ กดกัน-โหวตกันเข้าไป” 
       
       ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
 
cr.http://www.manager.co.th
.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X