|
ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ใน สารคดี ฉบับที่ ๒๐๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
จุลจักร จักรพงษ์ หรือฮิวโก้ เป็นหนุ่มลูกครึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาตั้งแต่เกิด เป็นบุตรชายของ ม.ร.ว.นริศรา จักรพงษ์ กับ แอลเลน เลวี่ เป็นหลานตาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ฮิวโก้เป็นที่รู้จักของคนในสังคมตามเส้นทางปรกติของ "หนุ่มไฮโซหน้าใส หยิ่งนิดๆ" เขาเป็นนายแบบขึ้นปกนิตยสารวัยรุ่นและนิตยสารผู้หญิงหลายฉบับ เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้า พระเอกละครโทรทัศน์ พระเอกภาพยนตร์ นักร้อง หัวหน้าวงดนตรี "สิบล้อ"
แต่สิ่งหนึ่งที่ฮิวโก้แตกต่างจากดารานักแสดงคนอื่นๆ คือ เขาเป็นคนอ่านหนังสือและมักจะมีมุมมองวิธีคิดน่าสนใจ ดังที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ สารคดี เมื่อ ๘ ปีก่อนจนเป็นที่กล่าวขวัญในเวลานั้น
"สังคมไทยไม่ยอมรับว่าวัยรุ่นเดี๋ยวนี้เอากันเหมือนกระต่าย วัยรุ่นไทยถูกพ่อแม่ห้ามตลอด ‘อย่าไปเที่ยวผู้หญิงนะ' ‘อย่าไปบ้าผู้ชายเลย' แต่ในห้องเรียนกลับไม่มีใครมาให้ความรู้สอนว่า ‘นี่ถุงยาง ใส่อย่างนี้นะ ท่านี้มันอันตราย ถุงอาจแตกได้ มีสิทธิ์ติดโรคเอดส์ได้ หรือติดซิฟิลิสได้'"
สองสามปีที่ผ่านมา ฮิวโก้หายหน้าไปจากวงการบันเทิงเมืองไทย เดินทางไปทำงานแต่งเพลงที่อังกฤษและสหรัฐ-อเมริกา เมื่อปีกลายนี้เอง บียอนเซ่ นักร้องชื่อดังก็ได้นำเพลง "Disappear" ที่เขาแต่งไปขับร้อง จนทำให้ฮิวโก้เริ่มเป็นที่ยอมรับ ล่าสุดเขาได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในค่ายเพลงของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์ก และกำลังจะวางแผงทั่วโลกเร็วๆ นี้
ตอนต้นปี ๒๕๕๓ ฮิวโก้หรือเล็กในวัย ๒๘ ปีกลับมาเยี่ยมบ้าน สารคดี มีโอกาสได้สนทนากับเขาอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองกำลังคุกรุ่นขึ้นทุกที
คุณไปๆ กลับๆ ระหว่างเมืองนอกกับเมืองไทย มองสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมอย่างไร
ถ้ามองอย่างผิวเผินจะรู้สึกว่าตอนนี้เมืองไทยมีแต่ความวุ่นวาย แต่ถ้ามองหาแง่ดีมันก็มี เพราะว่าคนบางกลุ่มที่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นอะไรทั้งสิ้นก็ได้แสดงความคิดเห็นบ้างแล้ว แล้วตอนนี้ทุกคนมีสิทธิ์พูดว่าเราไม่พอใจ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดูเหมือนทุกคนก็เริ่มแสดงความคิดเห็นกันแล้ว ว่าคิดอย่างไร กับอะไร ผิดหรือถูกอันนั้นก็แล้วแต่ผู้ฟังผู้อ่านว่าเขาคิดยังไง ผมว่าตอนนี้ผู้คนก็ไม่ค่อยเกรงใจที่จะแสดงทัศนคติต่างๆ ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น ซึ่งมันก็วุ่นวาย มันก็น่ารำคาญ ยิ่งถ้าเราไม่เห็นด้วยก็น่าเบื่อ แต่ว่าถ้ามองความเป็นจริง คนเหล่านี้ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมาหรอก ต้องมีแรงบีบอะไรบางอย่าง แล้วเราต้องยอมรับความจริงว่าคนเราไม่สามารถซื้อเสียงได้ทุกเสียงหรอก มันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุดปริมาณคนที่ออกมาพูด ออกมาประท้วง หรือทำอะไรก็ตามคงเพิ่มขึ้น และคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำได้ก็ยิ่งมั่นใจ ยิ่งได้ใจว่า เออ ไม่เห็นเป็นไรเลย
เป็นเรื่องดีที่ผู้คนกลุ่มต่างๆ ในสังคมกล้าที่จะออกมาแสดงความเห็น
หลายปีก่อนหน้านี้ผมก็ไปร่วมประท้วง เป็นหนึ่งในคนที่คิดอย่างนี้ แต่ปัญหาของการรวมกลุ่มกันใหญ่ๆ มันมีหลายแนวความคิดหลายแนวทางอยู่ในนั้น คือเราก็ต้องระวังว่าสิ่งที่เราคิดกับกลุ่มที่เราไปอยู่ไปแสดงออกมันจะไปด้วยกันตลอดหรือไม่ หากวันหนึ่งเป้าหมายหรือเจตนาเปลี่ยน เราจะเฮตามไปด้วยหรือเปล่า ถึงตอนนั้นทุกคนก็ต้องตัดสินใจเอาเองว่ายังเชื่อมั่นกับหัวขบวนของกลุ่มอยู่หรือไม่ แล้วก็เป็นเรื่องอุดมการณ์ หรือเป็นความหงุดหงิด หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันเหมือนกาที่เดือด ถ้าไม่มีช่องให้ไอน้ำออกมาก็จะระเบิด เพราะฉะนั้นปล่อยให้ไอน้ำออกมาดีกว่าปิดเก็บกดตลอดไป ไม่เช่นนั้นคุณจะตกใจพอเปิดฝาปล่อยให้มันออกมา ไม่ว่าจะโวยวายจะอะไรกันก็อยู่ที่ความอดทนของเขา เขาอยากได้อะไรมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนมันจะทำอะไรมันห้ามไม่ได้ถ้ามันเชื่อจริงๆ ถ้าแค่จะส่งสัญญาณให้ใครบางคนรู้ว่าเรามีเสียง อันนั้นก็คือความถูกต้อง มันอยู่ตรงนั้น
ไม่ว่าคุณจะอยู่สีไหน
ไม่ว่าจะอยู่สีไหนก็ตาม ทั้งเหลืองหรือแดง ไม่มีใครสามารถซื้อเสียงได้ทั้งหมดหรอก เป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยและไม่ชอบคือความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเรื่องนโยบายหรือเรื่องอุดมการณ์อันแตกต่างของแต่ละฝ่าย แต่ว่าเป็นเรื่องบุคคล เรื่องกลุ่มอำนาจ ว่าใครจะได้อำนาจ ที่ผ่านมา หากมองย้อนกลับไปทั้งสองฝั่ง ผมเห็นด้วยว่าในเวลานั้นฝั่งเหลืองควรจะตรวจสอบนายกรัฐมนตรี แล้วควรจะมีการดำเนินคดี ถ้าหากว่ามีเหตุผลและมีหมายจับจะต้องไปขึ้นศาล แล้วไปพิสูจน์กันว่าบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ จนกระทั่งศาลตัดสินโดยเจ้าตัวอยู่ในศาล เรียกว่าทุกคนก็ต้องยอมรับ ถ้าบริสุทธิ์ทุกคนก็ต้องยอมรับด้วย เพราะเราไม่ได้เป็นศาล เราไม่ได้มีหลักฐานหรืออะไรอยู่ในมือ แต่เราอยากจะเห็นการดำเนินการตามขั้นตอน เหมือนประเทศไทยมีกฎหมาย ขณะเดียวกันทางฝั่งแดงเขาก็ถูกตรงที่ว่าที่ผ่านมาเสียงของเขาก็เท่ากับว่าไม่มีค่า เลือกใครเข้ามาเป็นตัวแทนก็โดนแกล้งหมด ถึงเราจะไม่ชอบคนที่เขาเลือกก็ตาม แต่เราก็รู้สึกว่าเขามีเหตุผลที่จะโกรธแค้น ว่าดูเหมือนคนกรุงเทพฯ ขโมยเสียง ดูเหมือนจะปิดเสียงเขา มันก็สามารถมองอย่างนั้นทั้งๆ ที่มันอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ตาม ถ้าผมเป็นเขา ยืนอยู่ที่เขาอยู่ ผมก็คงคิดว่า เออ ก็เราเลือกคนนี้ พอคุณไม่ชอบคุณก็เอาออกไป อันนี้ก็ไม่ถูกเหมือนกัน กลายเป็นว่าเรามีฝ่ายผิดอยู่ทั้งสองฝั่ง แล้วครั้งหนึ่งก็เคยถูกทั้งคู่ด้วย แต่ว่าเวลานั้นมันผ่านไปแล้ว เหตุการณ์ตอนนี้กับเรื่องที่เกิดขึ้นมันคนละเรื่องกัน เราต้องยอมรับสภาพบางอย่างด้วย เราไม่สามารถเอาทั้งประเทศเป็นตัวประกันเรื่องของคนคนหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่ง มันไม่คุ้ม แล้วทั้งสองฝั่งทำสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยดูน่าอับอาย ผมอาจจะเคยร่วมกับพันธมิตรฯ ในช่วงแรก แต่ตอนหลังผมก็ถอยห่างเพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเรียกร้องคือให้ตรวจสอบรัฐบาลนี้หน่อย ตรวจสอบนายกฯ คนนี้หน่อย นโยบายบางอย่างของรัฐบาลนี้ที่เราไม่เห็นด้วย อาทิ การฆ่าตัดตอน ซึ่งเราไม่ได้บอกว่าใครสั่งโดยตรงแต่ว่าเขาก็ต้องรับผิดชอบด้วย คนที่รับผิดชอบก็คือเบอร์หนึ่งในเวลานั้น แต่พอเขาไม่อยู่ในประเทศแล้วก็มีการยึดอำนาจแบบสมัยก่อน เมืองไทยเราก็คุ้นเคยกันอยู่ ถึงมันจะไม่รุนแรงก็ตามแต่ว่ามันก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย มันเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น
ถ้าถามว่าแล้วจะแก้ไขยังไง ผมว่าทุกฝ่ายต้องตั้งพรรคการเมืองของตัวเองแล้วก็พยายามหาเสียง มันก็จะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ การเปลี่ยนแปลงมันจะไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว คุณต้องใจเย็น ก็ต้องแพร่ขยายความคิดเห็นของตัวเองให้คนทุกคนได้รู้ และถ้าสื่อเป็นอิสระก็สามารถมาถกเถียงกันทางโทรทัศน์ หรือจะประท้วงกันอย่างสันติ หรือจะเขียนจดหมายไปหาหนังสือพิมพ์ หรือจะคุยกันตามโรงเรียนตามมหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องของคุณที่จะทำ ไม่ใช่ว่าถ้ามาโวยวายแล้วจะได้แก้ไข นั่นคือสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย แบบคิดว่าจะแก้ไขปัญหาด้วยการยุบพรรคการเมืองหรือล้มรัฐบาล มันไม่ใช่ แค่สร้างปัญหามากขึ้นเท่านั้น คนเราต้องแสดงความคิดเห็นของเราให้แพร่หลายถ้าเราคิดว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าจะผ่าตัดฉุกเฉิน การเมืองมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าผ่าตัดแล้วหาย ต้องค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ เขียน ค่อยๆ สนทนากันดีกว่า เพราะเราเชื่อในประชาธิปไตย เราก็ต้องใช้วิธีการของคนที่รักประชาธิปไตย ไม่อย่างนั้นมันไม่น่าเชื่อถือเพราะทุกคนอ้างแต่ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยของคุณคืออะไร
ประชาธิปไตยของผมคือมีสิทธิที่จะพูดหรือทำอะไรก็ตามที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น ประชาธิปไตยคือการแสดงออกทางความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นศิลปะหรือเป็นอะไรก็ตาม ประชาธิปไตยคือรัฐบาลที่ปกป้องและรับใช้ประชาชน ไม่ใช่แสวงอำนาจเพื่อตัวเองหรือพรรคพวก ประชาธิปไตยคือความยุติธรรมภายใต้กฎหมายสำหรับทุกคนไม่ว่าเขาเป็นใครก็ตาม บางทีมันก็บริสุทธิ์ บางทีมันก็ไม่บริสุทธิ์ แต่ว่าเราก็ต้องพยายามใกล้เคียงที่สุด มันไม่ได้เป็นระบอบการปกครองที่สงบหรือเรียบง่าย แต่มันดีกว่าทุกทางที่มี แล้วมันก็ใกล้เคียงสุดที่จะแฟร์กับทุกคน แล้วถ้าไม่ชอบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คราวหน้าก็สามารถแคมเปญใหม่ได้ ถ้าอยากจะล้มรัฐบาลก็ไปเลือกตั้งพรรคใหม่ ถ้ารู้สึกว่าทั้งสองพรรคไม่มีนโยบายที่เราสนใจก็ต้องหาวิธีอื่น แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะเอาประเทศมาเป็นตัวประกัน ซึ่งมันไม่เกี่ยว
ขอบคุณที่มา