จาก แฮร์ สไตลิสต์ สู่ โปรดิวเซอร์ คอนเสิร์ต เกาหลี-ไทย ซองจุน ยุน
2012-08-05 18:24:54
Advertisement
คลิก!!!

 จาก แฮร์ สไตลิสต์ สู่ โปรดิวเซอร์ คอนเสิร์ต เกาหลี-ไทย ซองจุน ยุน

 โดย อรพรรณ จันทรวงศ์ไพศาล (ที่มา:มติชนรายวัน 5 สิงหาคม 2555)
 
จากแฮร์ สไตลิสต์ ผู้เนรมิตทรงผมให้กับดารา ศิลปิน เซเลบ ชาวไทยและชาวต่างชาติมามากมาย

มีผลงานและรางวัลการันตี อาทิ รางวัลนักออกแบบทรงผมที่มีเทคนิคยอดเยี่ยมของเกาหลี, ประกาศนียบัตรช่างออกแบบทรงผมยอดเยี่ยมของ JACQUES DESSANGE ประเทศฝรั่งเศส, รางวัลนักออกแบบทรงผมยอดเยี่ยม ด้านการตัดผม จากประเทศฝรั่งเศส ทำให้ช่างตัดผมวัย 35 ผู้นี้ เป็นสุดยอดในเรื่องทรงผมในระดับต้นๆ ของวงการ

ใครจะเชื่อว่า เขาคนเดียวกันนี้จะผันตัวมาเป็นผู้จัดงานคอนเสิร์ต

ประเดิมด้วยคอนเสิร์ตรูปแบบใหม่ Show Case Be Friend ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ นำซุปเปอร์สตาร์ชั้นนำของเกาหลี ลี ดอง วุก มาขึ้นเวทีประกบคู่กับซุปเปอร์สตาร์ชาวไทย บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ฉลอง 54 ปี การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ไทย-เกาหลี

ซองจุน ยุน (Yoon Sung Jun) เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2521 เป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาว 2 คน มีน้องชายอีก 1 คน หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขาตกลงใจแหกกฎ ปฏิเสธการไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่ครอบครัววางแผนไว้ หิ้วกระเป๋าออกจากบ้านไล่ตามความฝันของตัวเอง ในวัยเพียง 18 ปี

"ตอนนั้นคุณพ่อบอกว่า ถ้าจะทำงานนี้ให้ออกจากบ้านไปเลย คือพ่อเป็นทหารยศสูง ไม่ชอบเรื่องพวกนี้เลย ไม่สนับสนุนด้วย ผมก็โดนลงโทษโดนตี แต่ผมคิดว่าเป็นความฝันที่ไม่อยากจะปล่อยไป ผมเลยออกไปอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ มิสเตอร์ชเว ตอนนั้นเหนื่อยมาก แต่ผมมั่นใจในตัวเองครับว่าทำได้ แต่ก็ใช้เวลานานมากในการรอให้คุณพ่อยอมรับในตัวของผมได้" โปรดิวเซอร์คอนเสิร์ตมือใหม่บอก

ด้วยความทุ่มเทและอดทน อายุได้ 25 ปี เขาก็สามารถเปิดร้านทำผมเป็นของตนเอง มีรายได้เดือนละ 500,000 บาท กลายเป็นช่างทำผมอันดับต้นๆ ของเกาหลี

แต่แล้วราวกับโชคชะตาต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของจิตใจอีกคราว เขาทิ้งความสุขสบายที่บ้านเกิด มาเสาะหาทำเลเปิดร้านทำผมแห่งใหม่ในต่างแดน ตระเวนอยู่หลายประเทศ แล้วจู่ๆ ก็ตัดสินใจมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ที่ประเทศไทย ด้วยการเป็นลูกจ้างร้านทำผม

ปัจจุบันซองจุน ยุน เป็นเจ้าของร้านออกแบบทรงผม Prestige hair ในประเทศไทย 2 สาขา และเป็นเจ้าของร้านทำผมของฝรั่งเศสชื่อดังในเกาหลี ภายใต้ชื่อ JACQUES DESSANGE อีก 32 สาขา เขายังมีความฝันจะเปิดร้านทำผมทั่วโลก

นอกจากจะเป็นเจ้าของกิจการที่เกี่ยวกับทรงผมแล้ว ซองจุน ยุน ยังมีธุรกิจอีกหลากหลาย อาทิ ร้าน Beauty Salon, Guest House, บริษัทตกแต่งภายใน, Entertainment และอื่นๆ อีกรวม 10 บริษัท

แต่กว่าจะมีชีวิตเช่นวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไปรู้จักกับบางมุมของชีวิตเขา...ซองจุน ยุน

- ทำไมถึงเลือกเป็นสไตลิสต์ผู้ออกแบบทรงผม?

ตอนนั้นคนที่ทำอาชีพนี้ในประเทศเกาหลีมีน้อยมาก โดยเฉพาะช่างผู้ชาย ส่วนใหญ่จะเป็นช่างผู้หญิง ผมมองเรื่องโอกาสทางธุรกิจมากกว่า ที่เริ่มต้นได้เพราะมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้และทำธุรกิจ ซึ่งพอเริ่มทำก็รู้สึกสนุกกว่าที่คิด

- ความฝันตอนเด็ก?

เยอะมาก อยากเป็นอาจารย์ เพราะอยากจะเป็นผู้สอน ชอบที่จะเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมันเป็นแค่ความใฝ่ฝันตอนเด็กๆ

- ตอนตัดผมครั้งแรก?

ครั้งแรกตัดผมให้ผู้หญิงอายุน้อยกว่าผมประมาณ 4 ปี เป็นเด็กผมยาว เธอสวยมาก ที่จำได้คือตื่นเต้นมาก เหงื่อไหลเต็มตัวเลย ตอนนั้นบอกกับลูกค้าเลยว่า ตัดผมครั้งแรกนะครับ ตอนแรกคิดว่าลูกค้าจะไม่ชอบใจที่เป็นมือใหม่ แต่ลูกค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมเลยตัดให้ ลูกค้าชอบมากครับมาเป็นลูกค้าประจำเกือบทุกวัน

- ช่างตัดผมผู้ชายมักจะถูกมองเป็นเพศที่สาม?

ที่เกาหลีก็เหมือนประเทศไทยนะครับ ตอนนั้นช่างตัดผมเพศที่ 3 เยอะ ก็มีคนมองแบบนั้นบ้าง แต่ผมไม่แคร์ เพราะยังไงผมก็ไม่ใช่ (หัวเราะ)

- ครอบครัวไม่สนับสนุนด้านนี้?

ไม่เลยครับ พ่อเป็นทหารยศสูงไม่ชอบเรื่องนี้เลย แต่พอเวลาผ่านไปสัก 5-7 ปี พอเริ่มเก่ง เป็นที่รู้จัก คุณพ่อก็เริ่มเปิดใจยอมรับ แต่กว่าจะถึงวันนั้นเหนื่อยมากครับใช้เวลานานมากในการรอให้คุณพ่อยอมรับในตัวของผมได้

- ตอนนั้นทำยังไง?

ตอนนั้นผมจบแค่ ม.ปลาย ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย คุณพ่อบอกว่า ถ้าจะทำงานนี้ให้ออกจากบ้านไปเลย ผมเลยออกไปอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ มิสเตอร์ชเว ไม่ได้เป็นช่างตัดผมครับ ตอนนั้นผมได้เพื่อนคนนี้คอยดูแล คือเวลาเราทำผมมากๆ มือก็จะเป็นผื่น อักเสบเป็นแผล มือแตก ก็ได้เพื่อนคนนั้นคอยดูแลทำแผลให้

- เข้าสู่อาชีพนักออกแบบทรงผมได้ยังไง?

ตอนแรกเริ่มต้นจากเป็นผู้ช่วยเล็กๆ น้อยๆ ในร้านทำผมก่อนครับ แล้วค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนเข้าร่วมการแข่งขัน และชนะการประกวดช่างตัดผมของประเทศเกาหลี ได้รางวัลเป็นอาจารย์สอนตัดผมที่ประเทศฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แล้วไปเรียนรู้เพิ่มเติมจากที่นั่น

- เลือกเปิดร้านตัดผมที่ประเทศไทย?

ก่อนหน้านั้นผมก็ไปมาหลายประเทศ ใช้เวลาไป 3 ปีแต่ไม่ถูกใจสักที จนมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้มาที่เมืองไทย ผมเองก็ไม่เคยมาเมืองไทย ไม่รู้จักเมืองไทยเลย เคยเห็นแต่ในเว็บไซต์ และในทีวีเท่านั้น ผมบอกได้แค่ว่าคนไทยใส่หมวกกว้างๆ ทำจากฟางแล้วปั่นจักรยาน เพื่อนก็ช่วยอธิบายว่าประเทศไทยเป็นยังไง ผมจึงลองเข้ามา ครั้งแรกที่มาถึงมันไม่เหมือนที่คิดไว้หลายๆ อย่าง ผมอยู่ที่นี่แค่เดือนเดียวตัดสินใจจะเปิดร้านที่ประเทศไทยเลย จนวันนี้ก็อยู่มา 6 ปีแล้วครับ

- ตอนมาเมืองไทยครั้งแรก?

มาเมืองไทยครั้งแรกมีเงินติดตัวมา 50,000 บาท เพราะต้องเหนื่อย ต้องขยัน ถ้าเอาเงินมาเยอะก็ไม่ได้ขยัน มาพักอยู่ห้องเช่าเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรเลย มีแค่เตียงนอน ไม่มีทีวีหรือเครื่องอำนวยความสะดวกสักอย่าง

ทุกวันผมไม่เคยอยู่นิ่ง จะออกไปเอกมัย ทองหล่อ ไปเกือบทุกที่ เพื่อเรียนรู้ ช่วงแรกเหนื่อยมาก ต่างจากตอนอยู่เกาหลี คือสบายมากไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อย พอมาเมืองไทยก็คือจำเป็นต้องเหนื่อยต้องสร้างทางด้วยตัวเอง

- มาเริ่มต้นเปิดร้านที่ประเทศไทย?

ก่อนที่จะมาที่ประเทศไทย ในประเทศเกาหลีผมถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของอาชีพนี้เลย ตอนอายุ 25 ปี ผมก็เปิดร้านเป็นของตัวเองได้ ตอนนั้นผมสามารถทำรายได้เดือนละ 500,000 บาท แต่พอเข้ามาอยู่ในประเทศไทยต้องเริ่มต้นใหม่หมดจากเจ้าของร้าน 2 สาขาที่เกาหลี ก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดร้านได้เลย ผมมาเป็นลูกจ้างที่ร้านทำผมที่ ไทม์สแควร์ ได้เงินเดือน 40,000 บาท เพื่อเรียนรู้ก่อน

- ต้องปรับตัวยังไงบ้าง?

ผมมาประเทศไทยครั้งแรก พูดภาษาไทยไม่ได้ สถานที่อะไรก็ไม่รู้จัก ต้องหาข้อมูลใหม่หมด แต่ต้องทำงานด้วย ผมเลยไปสมัครงาน บอกกับเจ้าของร้านว่าผมทำงาน 6 เดือนได้ไหมครับ ที่ร้านก็โอเคผมเลยได้ทำงานที่นั่น

ทุกวันผมจะฝึกพูดภาษาไทยด้วยตัวเอง ตอนนั้นหนังสือก็ไม่มีนะครับ ผมต้องจดคำศัพท์ที่อยากจะรู้ ตอนทำงานที่ร้านทำผมก็จะถามพนักงานด้วยกันแล้วจดไว้ท่อง ต้องท่องจำศัพท์วันละ 40 คำ

- ตอนนั้นเคยอยากกลับเกาหลีบ้างไหม?

ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหนื่อยก็เหนื่อยนะครับ แต่ต้องทนให้ได้เพราะผมเป็นผู้ชาย จนถึงวันนี้ผมรู้สึกคุ้มค่ามากที่อดทนมาตั้งแต่วันนั้น

- ทำงานกับคนไทยต่างจากคนเกาหลีไหม?

คนไทยกับเกาหลีไลฟ์สไตล์วัฒนธรรมไม่เหมือนกันก็มี คนเกาหลีจะทำอะไรเร็วๆ แต่คนไทยทำอะไรสบาย ช้า บางอย่างคนไทยก็ดีกว่า บางอย่างคนเกาหลีก็ดีกว่า ผมมาอยู่ประเทศไทยก็ต้องปรับตัวตามคนไทย ตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้อยู่ครับ

จริงๆ ช่วงหลังผมรู้สึกว่าเมืองไทยเป็นบ้านของผมมากกว่า ผมกลับไปเกาหลีแล้วเริ่มไม่ชิน พอขึ้นเครื่องบินออกจากเกาหลีมาที่นี่รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านแล้ว

- พนักงานของร้านนี้ต้องเรียนจบสูงหรือ มีพื้นฐานภาษาเกาหลีหรือไม่?

ไม่จำเป็นครับ พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทย ตอนสมัครงานผมจะไม่ดูประวัติการศึกษาประวัติการทำงาน (resume) เลย จะดูการพูดคุยต่อหน้าอย่างเดียวว่าเขามีบุคลิก มีมนุษยสัมพันธ์อย่างไร ไม่ดูอดีตที่ผ่านมา

ผมไม่ชอบการทำงานแบบแบ่งชนชั้นว่า ฉันเป็นนายจะต้องใหญ่กว่านะ ผมชอบการทำงานแบบเป็นเพื่อนกันมากกว่า ถ้าผมมีกำไรมากพนักงานทุกคนก็จะต้องได้รับส่วนแบ่งมากด้วย เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญอย่างเดียว พนักงานของเราก็สำคัญ

- มีปัญหาเรื่องการสื่อสารบ้างไหม?

ก็มีบ้าง แต่ตอนนี้เล็กน้อย เพราะผมพอพูดภาษาไทยได้บ้าง ต้องพยายามหัดครับ แต่แรกๆ ก็มีปัญหาเยอะนะ ต้องอธิบายอยู่นานให้เขาเข้าใจ เช่น ผมนัดเจอกันที่เซ็นทรัลชิดลม พอผมไปถึงชิดลมเขาก็ถึงเซ็นทรัลนะแต่เป็นเซ็นทรัลสีลม อีกเรื่องคือผมให้คนเอาเงินใส่เข้าบัญชี แต่เขากลับเอาเงินออกมาจากบัญชีหมดเลย ประมาณนี้ แต่ก็แก้ปัญหาได้

- มีลูกค้ามาก?

ตอนนี้มีลูกค้าสนใจมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงานมากกว่า วัยรุ่นจะน้อย ผมเองเป็นครูสอนที่นี่เองครับ แต่ก็ตัดผมให้ลูกค้าบ้าง ตอนกำลังตัดผมก็จะตั้งใจ มีสมาธิกับการตัด อาศัยประสบการณ์ดูสไตล์ของลูกค้าว่าเหมาะกับผมทรงไหน หรือชอบทรงผมทรงไหน เพราะแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เราต้องเลือกให้ดีว่าอันไหนดีที่สุด

- ถ้าลูกค้าอยากได้ทรงผมที่ไม่เข้ากับเขา?

ผมก็จะอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่ถ้าเขาอยากได้มากแต่ยังไงก็ไม่เหมาะ ผมจะไม่ตัดให้ จะบอกเขาว่า ตัดให้ไม่ได้ครับ อย่างบางคนผมเสียมากแต่อยากจะดัดผมลอน ผมก็ต้องบอกว่าทำให้ไม่ได้ครับ คือต้องพูดตรงๆ

- ชอบที่ไหนในประเทศไทยมากที่สุด?

ผมยังไม่ค่อยมีโอกาสได้เที่ยวที่ไหนเลย อยู่แถวๆ สยาม สุขุมวิท เซ็นทรัล พัทยา หัวหิน เขาใหญ่ แค่นี้ก็ชอบนะ แต่ก็ยังมีที่ที่อยากไปมาก อย่าง เกาะเต่า เกาะสมุย แต่ไม่มีเวลา

- เป็นนักออกแบบทรงผม ทำไมถึงมาเป็นผู้จัดคอนเสิร์ต?

ผมมีบริษัทที่เกี่ยวกับเอนเตอร์เทนอยู่ ผมเห็นว่ามีหลายสิ่งที่คนเกาหลีกับคนไทยสามารถทำร่วมกันได้ เห็นว่าดาราเกาหลีกับดาราไทยน่าจะมาเป็นสื่อกลางรวมกันระหว่างสองประเทศไทย อย่าง บีเฟรน ก็เป็นการนำดาราทั้งสองประเทศมาเป็นเพื่อนกัน เป็นคอนเสิร์ตที่ผมจัดเป็นแรก

- ทำไมต้องเป็นดารา?

ผมมองว่าที่ผ่านมาดาราส่วนใหญ่พอมาเมืองไทย จัดอีเวนต์แล้วก็กลับ ไม่มีอะไรต่อ ผมอยากให้เป็นงานที่ทำให้พวกเขาสนิทกัน เป็นเพื่อนกันไปตลอด รวมถึงคอนเซ็ปต์ที่เราอยากได้ คือเป็นในลักษณะแฟนมีตติ้งพร้อมกัน มีเล่นเกมต่างๆ เช่น เปลี่ยนใส่ชุดประจำชาติกัน อยากให้เป็นดาราทั้งคู่ สำหรับคุณบอย ปกรณ์ ตอนนี้ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ส่วน ลี ดอง วุก เองก็เคยมีผลงานโด่งดังที่ประเทศไทย และมีชื่อเสียงในเกาหลีเหมือนกัน

- คาดหวังกับคอนเสิร์ต?

อยากให้ทั้งคนไทยและเกาหลีรู้ว่าเรามีการจัดอีเวนต์กันแบบนี้นะ เราใส่ใจกันมากขึ้นเรียนรู้กันมากขึ้น ผู้ที่เข้าชมงานคอนเสิร์ต ได้มีความรู้สึกได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนเกาหลีที่ไม่เหมือนใคร จัดแค่วันเดียวรอบเดียว 2,000 คนเท่านั้น และขอบอกว่า 2,000 คนที่เข้าร่วมงานเนี่ย สนุกจริงๆ ได้ความสนุกกลับไปทั้งแฟนคลับและผู้เข้าร่วมงานจะได้รับสิ่งที่คอนเสิร์ตอื่นไม่ได้ ได้ในสิ่งที่คาดไม่ถึง ตอนนี้มีคนเริ่มพูดถึงทั้งในไทยและเกาหลีแล้วครับ

- วันนี้คิดว่าประสบความสำเร็จหรือยัง?

ยังครับ ผมยังมีสิ่งที่อยากจะทำอีกเยอะ ในความคิดของผมสิ่งที่สำคัญกว่าเงินก็คือ มนุษย์ ไม่ใช่แค่ตอนนี้ที่คิดว่ายังไม่ประสบความสำเร็จนะครับ แต่ต่อๆ ไปผมก็ยังคิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จ ยังมีอะไรอีกเยอะที่อยากจะทำ

ความฝันของผมอีกอย่างคือการสร้าง Korean Town ในเมืองไทย ที่มีตั้งแต่อาหาร สินค้า แฟชั่น เครื่องสำอาง ฯลฯ ให้เหมือนคนไทยได้ไปช็อปปิ้งที่เกาหลีจริงๆ

ตอนนี้สิ่งที่อยากจะทำที่สุดคือช่วยคนไทยที่ยังด้อยโอกาสที่มีอีกเยอะ ถ้าเปิดบริษัทมากขึ้นคนไทยก็จะมีโอกาสมีงานทำเพิ่มมากขึ้น ผมพยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีมาก รวมไปถึงการช่วยเหลือคนพิการในประเทศไทยที่มีอยู่มาก ผมเองก็มีน้องอยู่ 3 คน น้องคนที่ 3 ของผมก็พิการ จึงอยากจะช่วยเหลือคนเหล่านี้ *อยากจะเปิดเป็นศูนย์กลางช่วยเหลือ ทั้งด้านการแพทย์ และด้านอื่นๆ ครับ

ข้อมูลจาก

 http://www.matichon.co.th

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X