พูดคุยก่อนดูกับ"ผู้พันเบิร์ด"13ปีในเส้นทางการแสดงหนังปิดฉาก"ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมาหาราช : อวสานหงสา"
2015-04-11 19:21:30
Advertisement
คลิก!!!

เข้าฉายไปเป็นที่เรียบร้อยสดๆร้อนๆกับการกลับมาปิดตำนานของอภิมหากาพย์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมาหาราช : อวสานหงสา" ผลงานการกำกับของ "ท่านมุ้ย" ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล พร้อมด้วยนักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทยคับคั่ง พร้อมด้วย ผู้พันเบิร์ด พันโท วันชนะ สวัสดี กับ13ปีที่รับบทสมเด็จพระนเรศวรมาหาราช ซึ่งเดินทางมาถึงอวสานหงสา ความน่าสนใจจะเป็นอย่างไรไปคุยกับผู้พันเบิร์ดกันเลย...

    กำลังจะมีภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช: อวสานหงสาเข้าฉาย ภาคนี้อวสานหงสายืนยันว่าจบแน่นอนแล้ว ?
    ผู้พันเบิร์ด : "หลายคนบอกว่ามาหลอกกันนี่นา ไม่เห็นจะจบสักที ชนช้างแล้วยังไม่จบอีกเหรอ จริงๆเราก็คิดคล้ายกันว่า เออมันน่าจะจบที่ชนช้างไหม เพียงแต่ผมเชื่ออย่างนี้ครับ เมื่อคนที่ชมภาค 6 ออกมาจากโรงภาพยนตร์แล้ว ทุกคนน่าจะคิดหมือนกัน ว่ามันควรจะมีภาค 6 ด้วยเหตุผลที่ว่าช่วงชีวิตของพระองค์ในการครองราชย์ของท่าน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์  พระองค์ไม่ได้จบชีวิตลงตรงแค่การทำยุทธหัตถีแค่นั้น แต่มันมีเรื่องราวที่สืบทอดต่อเนื่อง มีการผันเปลี่ยนทางอำนาจ รวมถึงความสูญเสียในชีวิตของคน หลังจากนั้นอีกมาก และเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่เราปฏิเสธไม่ได้"

    กว่าทศวรรษกับภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ ที่ผู้พันเบิร์ดเข้าไปมีส่วนร่วมสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยกำลังจะปิดฉากลงรู้สึกอย่างไรบ้าง ?   

   ผู้พันเบิร์ด :"รู้สึก 2 อย่างครับความรู้สึกแรกเลยก็คือดีใจ สิ่งที่เราถ่ายทำมาทั้งหมดจนครบทั้ง6ภาค แต่ความรู้สึกที่ตามมาคือความรู้สึกใจหายแวบว่า หลังจากนี้ไปการถ่ายทำที่เราจะได้เห็นนักแสดงครบๆแบบนี้ มันก็จะหายไป ตลอดระยะเวลา12ปีที่ผ่านมา โรงเรียนแห่งนี้เป็นเหมือนโรงเรียนประจำ ที่ทุกคนมาเจอกันตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ หรือบางครั้งเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้กลับบ้าน เลยผูกผันเป็นครอบครัว"

    จากภาคแรกจนถึงภาคนี้ พัฒนาการของตัวละครของสมเด็จพระนเรศวร เป็นอย่างไรบ้างในความคิดของผู้พันเบิร์ด ?
    ผู้พันเบิร์ด : "ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้าย จริงๆตัวละครของพระองค์ เราต้องการจะถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่มีความหลากหลายทางอารมณ์เหมือนคนทั่วไป พระองค์มีห่วง มีความรัก พระองค์มีความโกรธ เสียใจ ร้องไห้ มีความกลัว แต่ในช่วงพัฒนาของตัวละครที่ผมเล่นตั้งแต่ภาค2  แต่ในภาค6ที่เป็นภาคสุดท้ายนี้ จะมีความหลากหลายทางอารมณ์มากกว่าในภาคที่ผ่านมา ภาคสุดท้ายเราจะเห็นความหลากหลายทางอารมณ์แล้วลึกมาก โดยเฉพาะความห่วงในแผ่นดินอโยธยา ที่เราจะได้เห็นของพระนเรศวรในฉากท้ายๆเรื่อง เราจะเห็นเลยว่าความเป็นมนุษย์จริงๆของพระองค์ ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในฉากนี้ และจะบ่งบอกเป็นบทสรุปทุกอย่างเลยว่า ทำไมพระองค์จึงเพียรทำทุกสิ่งทุกอย่างมาตั้งแต่ภาคหนึ่งจนถึงภาคหกครับ"

    นอกจากศึกยุทธหัตถีแล้ว ในภาคอวสานหงสาจะเกิดอะไรขึ้น มีเหตุการณ์เรื่องราวสำคัญอะไรในประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในภาพยนตร์ภาคนี้ ?
    ผู้พันเบิร์ด : "ในภาคนี้เราจะพูดถึงเรื่องของการปกครอง แล้วเราจะพูดถึงชีวิตของคน  แล้วผมจะแบ่งเรื่องการปกครอง และชีวิตในฝั่งหงสาวดี การปกครองและชีวิตในฝั่งอยุธยา เราเริ่มที่ในเรื่องการปกครองก่อน  ในภาค 6 จะได้เห็นจุดพลิกผันของอาณาจักรหงสาวดีที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ส่งผลให้อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่เหล่านั้นมันหายไปเลยครับ แล้วมันจะมีการเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางอำนาจใหม่ มีเมืองต่างๆเกิดขึ้นในอาณาจักรหงสาที่เคยรุ่งโรจน์อยู่ เราจะเห็นกลุ่มคนใหม่ๆอย่างยะไข่ ซึ่งเป็นพวกโจรสลัด เราเรียกว่าเป็นชาวอาระกัน มาจากทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า ซึ่งอยู่ติดกับจีน พวกนี้เป็นโจรสลัดที่ลงมาปล้น มันจะมีนิสัยเหมือนกับพวกตีหัวเข้าบ้านอย่างเดียว เราจะเห็นพวกเมืองมอญ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ เราจะเห็น เมาะตะมะ แล้วเราก็จะได้เห็น ตองอู ซึ่งจะกลายเป็นอาณาจักรศูนย์กลางแห่งใหม่ของพม่า 
    ต่อมาคือเรื่องชีวิตของคน เราก็จะได้เห็นชีวิตในส่วนของพระเจ้านันทบุเรง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ครองหงสาวดี คนที่ครองเมืองจะต้องมีความยิ่งใหญ่มาก  สืบต่ออำนาจมาจากพระเจ้าบุเรงนองผู้ชนะสิบทิศ เพราะฉะนั้นความเกรงขามของคนที่อยู่ใต้อาณัติ แม้กระทั่งอโยธยาในเมื่อก่อนนี้เองก็ถือว่าเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้านันทบุเรงมาก่อน ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน ต้องไปเหมือนลี้ภัย แล้วก็เจ็บป่วยเหมือนกับเวรกรรมตามทัน การเจ็บป่วย การเลอะเลือนของสติ แล้วก็ถูกข่มเหง ถูกใช้ประโยชน์ เพื่อประโยชน์ของส่วนอื่น ถูกหลอกใช้นี่คือนันทบุเรง แต่ที่สำคัญของพระเจ้านันทบุเรงที่ช้ำชอกไปกว่านั้นนะครับ คือการสูญเสียลูกชายที่พระองค์รักมากตั้งแต่ศึกยุทธหัตถีแล้ว การสูญเสียในครั้งนั้นมันส่งผลอะไรต่อสภาพจิตใจของพระองค์บ้าง เกิดการกระทำอะไรขึ้นในหงสาวดี มีความเหี้ยมโหดอะไรเกิดขึ้นบ้าง นี่แหละคือสิ่งที่เราจะได้เห็นในภาคที่ 6 
    ฝั่งอยุธยาในแง่ของการปกครอง เราจะได้เห็นความเข้มแข็งของอยุธยา ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เราจะเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของพระองค์ อันเป็นศูนย์นำจิตใจของคนสมัยนั้นทำให้เมืองเข้มแข็ง เราจะเห็นการเดินทัพของพระองค์จากอยุธยาไปไกลถึงหงสา เป็นครั้งแรกที่เราไปเหยียบหงสา สืบเนื่องมาจากแนวความคิดของสมเด็จพระนเรศวร 2 ประการ ประการแรกคือเรื่องส่วนรวมของอยุธยา ที่ต้องการจะไปเอาเมืองหงสากลับมาเป็นเมืองขึ้นของเรา เหมือนเมื่อครั้งที่เราเคยเป็นเมืองขึ้นของเขา แต่ประการที่สองเป็นเรื่องเฉพาะพระองค์ นั่นหมายถึงพระองค์จะพยายามไปเอาพระสุพรรณกัลยากลับมา แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะเห็นพระองค์ได้เดินทัพไปรบอีกหลายศึก รบกับตองอู รบกับเมาะตะมะ ทำไมพระองค์ถึงต้องทำแบบนั้น เพื่อความเป็นเอกราชและความคงอยู่อย่างมีความสุขของประชากรในอยุธยานั่นเองนะครับ อันนี้เป็นเรื่องของการปกครอง 
    ต่อมาเป็นเรื่องส่วนตัว เราจะได้เห็นความสูญเสียองค์ประกันที่จบความเป็นองค์ประกันอย่างแท้จริงในภาค6 นั่นคือ พระสุพรรณกัลยา และความสูญเสียนี่ก็จะเป็นเหตุผลอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำไมพระนเรศวรถึงต้องยกทัพไปถึงหงสา ด้วยความสูญเสียในครั้งนั้นทำให้พระองค์เหมือนมีความเจ็บแค้นอยู่ในใจ ที่จะต้องเอาหงสากลับคืนมาให้ได้ และเมื่อยกทัพไปถึงหงสาแล้ว ยังต้องตามไปเอาชีวิตของนันนทบุเรงกลับมาให้ได้อีกนะครับ ความสูญเสียที่สำคัญที่เราจะได้เห็นในภาค6 นั่นคือการปิดฉากของช่วงชีวิตของสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมชาติที่วันหนึ่งคนเราเกิดมานะครับจะต้องจากไป เราจะฝากอะไรไว้ให้กับแผ่นดินบ้าง เราจะได้เห็นแม้วินาทีสุดท้าย ที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์แล้ว ความผูกผันและความห่วงในแผ่นดิน พระองค์ได้ฝากเรื่องราวต่างๆให้กับน้องชายพระเอกาทศรถ จนทำให้เราเข้าใจชีวิตทำให้เราจบภาค6 ถึงแม้ว่าพระองค์จะสูญสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่เรากลับอิ่มเอิมใจ ก็แปลกที่ทำภาพยนตร์สร้างออกมาได้แบบนั้นนะครับ และนี่คือบริบททั้งฝั่งอยุธยาและฝั่งหงสาวดีครับ"

    นอกเหนือจากความเข้มข้นของเรื่องราวและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในภาคอวสานหงสาเราจะได้เห็นภาพความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาของสมเด็จพระนเรศวรชัดเจนขึ้น ?
    ผู้พันเบิร์ด :"เราเคยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์สมัยก่อนเป็นสมมติเทพ แต่จริงๆเราต้องการที่จะสื่อในความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาตั้งแต่ภาค 1 ถึงภาค 5 อยู่แล้ว  พระนเรศวรจะมีแกนกลางของแนวความคิด ก็คือพระองค์จะต้องทำเพื่อแผ่นดิน เมื่อแผ่นดินอยู่ได้ ประชาชนของพระองค์เองก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกัน แต่ในการพลิ้วไหวของอารมณ์ที่มันเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่นความสูญเสียของพระองค์จากการที่พี่สาวถูกสังหาร บางทีคนเราก็จะโกรธขึ้นมา จะยอมทำทุกอย่างเพื่อความโกรธ แล้วก็ทำตามนั้น แต่พอวันหนึ่งเมื่อเวลามันผ่านไป จะแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นทรงกระทำซึ่งเพื่อผลประโยชน์ของชาติ เป็นการกระทำเพื่อส่วนรวมเป็นการเสียสละ ยอมแลกแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองเพื่อให้ความเป็นเอกราชกลับคืนมาสู่อยุธยา อย่างเช่นในฉากท้ายๆเรื่องของการที่พระองค์จะสวรรคตแล้ว คือพระองค์ได้บอกว่า ณ เวลานี้เราจะสิ้นแล้ว เราไม่ได้ต้องการอะไรเลย ไอ้ความเป็นเอกราช หรืออะไรที่จะนำมาซึ่งแผ่นดิน ณ ถึงเวลานี้ เราต้องการเพียงแค่สองสิ่งคือเมียกับลูก อันนี้คือสิ่งที่เป็นคนธรรมดาจริงๆเลย แต่ก็จำเป็นต้องจากไปเพราะป่วย อันนี้คือความเป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง แต่พอสักพักหนึ่งนะครับมันจะถูกหวนกลับมาซึ่งความคิดเดิม คือการกระทำเพื่อแผ่นดิน พระองค์ก็ยังเป็นห่วงอีก พระองค์ก็จึงเรียกพระเอกาทศรถมาสั่งเสียว่าอโยธยาเราต่อไปต้องเป็นอย่างไร จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ประชาชนอยู่ได้อย่างมีความสุข สิ่งหนึ่งก็คือบอกพระเอกาทศรถว่าต้องครองแผ่นดินโดยธรรม และเราต้องเป็นเอกราชให้ได้ การที่เป็นเมืองขึ้นไม่มีทางหรอกที่ประชาชนจะอยู่ได้อย่างมีความสุข"

    ฉากหรือเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นใน อวสานหงสา ?
    ผู้พันเบิร์ด :"มีฉากสำคัญอยู่หลายฉากด้วยกัน เราจะได้เห็นภาพที่บอกว่าหงสาวดีแผ่นดินลุกเป็นไฟ ลุกเป็นไฟตามอารมณ์แต่เป็นเพราะนันทบุเรงสั่งเผา เผาคนที่ตามศึกลูกชายตัวเองไปเผาทั้งเป็นครับ เป็นหมื่นคนครับ จับเผาขึ้นตะแลงแกงแล้วเผา ซึ่งฉากนี้มันต้องใช้เทคนิคในการถ่ายทำพอสมควรเลย คือมันยากตรงที่ว่าไฟนี่จุดจริง แล้วคนก็ร้อนจริง แต่ว่าไฟไม่ถึงตัวนะการเตรียมการตะแลงแกรงจำนวนเยอะขนาดนั้น มันค่อนข้างจะวุ่นวายในระหว่างที่เผา วุ่นวายจริงในหนังต้องเอาด้วย ตอนเบื้องหลังการถ่ายทำก็วุ่นวาย แล้วก็ความจริงมันไมได้ลุกเป็นไฟอย่างเดียว ในพงศาวดารยังกล่าวไว้เลยว่าพระเจ้านันทบุเรงกวาดต้อนคนพม่ากลับเข้ามาในเมือง แล้วปิดประตูเมืองภายนอกเมืองทั้งหมด ตัดต้นไม้ที่ออกดอกออกผลที่กินได้ทั้งหมด เพื่อต้องการให้พวกมอญอดตายอยู่นอกเมืองครับ ใครขัดขืนแอบเอาไปให้กันฆ่าตายให้หมด คือโหดมากในสมัยก่อน เรามีการถ่ายทำอยู่หลายวัน เพราะบางครั้งเวลาที่เราถ่ายทำไปแล้วมันไม่ได้ครับ คือไฟจุดแล้วมันไม่ลุกมาก หรือบางทีจุดแล้วมันลุกมากเกินมัน ทำให้ตัวแสดงที่ถูกมัดอยู่ร้อนจริง แล้วก็ใช้คนประมาณ 500 คน คือนอกเหนือจากคนที่ถูกเผาแล้ว มันต้องมีทหารพม่าที่ทำหน้าที่เผา คือมันจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในท้องพระโรง การขอชีวิตอะไรอย่างนี้ แล้วก็ความวุ่นวายของคน 500 คนในการมาถ่ายทำ บางทีเล่นแล้วก็มีการเหลือบมองคนเหลือบมองดูกล้อง ไม่เข้ามาร์ก ไปบังตัวเมน คือชุลมุนวุ่นวายไปหมดครับ แล้วพอบางครั้งเวลาจุดไฟ ตอนซ้อมมันยังไม่มีไฟ พอเอาจริงพอไฟมันขึ้นมาปั๊บ คนที่ต้องไปจุดอีกทีเข้าไปก็ไม่กล้าเข้า พอไม่กล้าเข้า ทางด้านภาพก็ไม่ได้ อย่างนี้นะครับ จริงๆมันมีความยากอีกอย่างหนึ่งคือเราต้องมีคอมพิวเตอร์กราฟฟิกเข้ามาช่วย เพราะฉะนั้นท่านมุ้ยจะมองไปเลยว่าฉากตรงนี้รูตรงนี้ จะต้องเอากรีนสกรีนมาขึง เพราะว่าภายหลังจากตรงนี้ไปจะเห็นเป็นกำแพงนะ จะเห็นยอดเจดีย์ตรงนี้นะครับ ภาพทั้งหมดมันเป็นภาพที่เขียนมาแล้วครับว่าจะมีเจดีย์ขึ้นตรงไหน ทหารจะคุมจากตรงไหนบ้าง  เวลาถ่ายลมแรง ก็จะพัดผ้ากรีนเกิดเป็นเงา ต้องไปขึงผ้ากรีนขึ้นใหม่ บางทีพอถ่ายเสร็จปั๊บเงาก็ไปติดที่อยู่ตามผ้ากรีนอีก ก็ต้องจัดแสงใหม่ คือถึงแม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีมาแล้ว มันก็มาพร้อมกับความยากลำบากพอสมควร การถ่ายทำสำหรับฉากนี้ฉากเดียวก็ถ่ายทำเป็นอาทิตย์ละครับ"

    ฉากไคล์แม็กซ์สำคัญของภาพยนตร์ การเผชิญหน้ากันระหว่าง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระเจ้านันทบุเรง ?
    ผู้พันเบิร์ด :"คือต้นเหตุของการที่พระนเรศวรต้องบุกไปถึงหงสา ขึ้นไปถึงตองอู เพื่อต้องการที่จะขึ้นไปเอาชีวิตของนันทบุเรง ผมขอเล่าความรู้สึกในช่วงการถ่ายทำก่อน ผมอยากจะบอกว่าฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายที่พี่ต้น-คมกริช ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือด แต่แกมาถ่ายฉากนี้หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลต้องเติมเลือดเป็นประจำ พอถึงเวลาพอเติมเลือดแล้วแกจะสดใสขึ้นมา แต่ผมรู้เลยว่าพี่ต้นแกมีความสุขกับการที่ได้มาถ่ายหนัง แกสดใสร่าเริงถ่ายทำทั้งคืนเลยนะครับ แต่หลังจากนั้น2วันแกก็กลับเข้าไปเติมเลือดใหม่ แต่แกกลับเข้าไปคราวนั้นนอนยาวจนกระทั่งเสียชีวิตเลย 
    นึกถึงฉากนี้ก็ต้องนึกถึงคนๆนี้ แล้วก็เมื่อได้ร่วมงานกับพี่ต้น-จักรกฤษณ์ ผมบอกเลยว่าในภาคนี้ทั้งภาคผมเจอพี่ต้น-จักรกฤษณ์ในซีนนี้ซีนเดียว ถ้าเราพูดถึงในเนื้อหาของหนัง คือกษัตริย์รูปงามพระองค์หนึ่งที่เคยเป็นกษัตริย์ของหงสาวดี ที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์ คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หมด ซึ่งความเปล่งรัศมีของการเป็นพระมหากษัตริย์ ด้วยการที่ใบหน้าเละ จากการถูกปืนใหญ่และไฟลวก แล้วก็สติเลอะเลือน แล้วก็คือเมาสุราจนไม่ได้สติ มีแต่ไฟของความโกรธแค้น ความพิโรธ แล้วก็อยู่ในความหวาดกลัวที่ตัวเองจะต้องถูกคนอื่นตามมาเอาชีวิต เพราะตัวเองได้สร้างก่อกรรมทำเข็ญกับคนอื่นไว้มาก อยู่กับความสูญเสียที่ตอกย้ำอยู่ในจิตใจคือลูกชายที่เป็นที่รักของตัวเองก็เสียไป แล้วความสูญเสียอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ เมื่อพระนเรศวรกลับเข้าไปแล้วเห็นคนๆนี้อีกครั้งหนึ่ง มันมีการปะทะคารมกันพอสมควร แม้แต่พี่ต้นเองก็รู้สึกบางอย่าง ผมเองตอนเล่นก็รู้สึกบางอย่างหมายถึงรู้สึกในหนังนะครับว่ามันมีการเชือดเฉือนอารมณ์กันต้องไปตามดู"
 
    ตลอดการทำงานกว่า1ทศวรรษ  ฉากที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของ ผู้พันเบิร์ด พันโทวันชนะ สวัสดีในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาตลอด 6 ภาคมาจนถึงอวสานหงสา ?
    ผู้พันเบิร์ด : "ฉากนี้คือที่สุดของผม คือผมไม่คิดว่าจะเล่นฉากซึ้งได้ คือซีนสวรรคตในฉากภาค 6 ฉากที่ผมชอบที่สุดในชีวิตการแสดงคือฉากนี้ คิดว่าการจากไปของพระนเรศวรในหนังภาคนี้ ไม่ได้นำมาซึ่งความเศร้า แต่นำมาซึ่งความซาบซึ้ง และทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนเรศวร ที่พระองค์ทรงเพียรสร้างมาทั้งหมดมันจะอยู่ในฉากนี้" 

    ว่ากันว่าในซีนสุดท้ายนี้ ท่านมุ้ยตั้งใจถ่ายทอด และนำเสนอให้ได้เห็นตัวตนความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาอย่างชัดเจนมากๆของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ?
    ผู้พันเบิร์ด : "ซีนนี้มันจะเกิดขึ้นเป็นซีนสุดท้ายของภาพยนตร์ในช่วงที่พระองค์ป่วยอยู่ เราจะเห็นมณีจันทร์เข้ามาในช่วงพะวงของความฝันที่พระองค์ทรงป่วยอยู่นี่แหละ ได้แสดงออกและถ่ายทอดถึงความเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่มีความรู้สึกรัก โลภ ห่วงในความเป็นตัวของตัวเอง แต่พออีกพาร์ทหนึ่งต่อจากตรงนี้ พระองค์เมื่ออยู่กับเมียเป็นอย่างนี้ แต่เวลาเมื่ออยู่กับทหารก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง อยู่กับเพื่อนสนิทไอ้ทิ้งก็จะมีอีกอารมณ์หนึ่ง และสุดท้ายมาอยู่กับพระเอกาทศรถที่รู้ว่าต้องฝากแผ่นดินไว้ พระองค์ก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง มันเหมือนกับคนเรามีบทบาทที่เปลี่ยนไปในสังคม"

    การทำงานที่เรียกได้ว่ามีความพิเศษมากๆของภาคอวสานหงสา คือการที่ท่านมุ้ยขอให้แอฟกลับมาถ่ายทำในขณะที่กำลังตั้งท้อง 8 เดือน?
    ผู้พันเบิร์ด : "ถ้าผมเป็นแอฟผมก็จะรู้สึกดีใจ ซึ่งผมก็เชื่อว่าแอฟรู้สึกแบบนั้น แอฟท้อง8เดือน ท่านต้องการให้เห็นท้องก่อน แล้วเอากลับมาถ่ายใหม่ แต่ผมเชื่อว่าพัฒนาการทางอารมณ์มันดีขึ้น คือแอฟเองเป็นแม่คนจริงๆ ผมเองก็มีลูกแล้ว ทำให้เวลาเราเล่นในหนัง เราใส่อารมณ์เต็มที่ทุ่มทั้งความรู้สึกทางด้านร่างกายและความรู้สึกทางจิตใจ เข้าไปอยู่เป็นพระนเรศวรกับมณีจันทร์จริงๆ กับการที่จะต้องร่ำลากัน ซึ่งจากตรงนี้ทำให้ผมกล้าพูดได้ว่าตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา ผมบอกเสมอว่าผมเชื่อมั่นในท่านมุ้ย ท่านคอยไม่ถ่ายท้ายที่สุดภาพที่มันออกมามันดีจริงๆ  อย่างเช่นฉากที่แอฟกลับเข้ามาถ่ายตอนท้อง 8 เดือน ท่านต้องการบันทึกความสมจริงของตัวมณีจันทร์ที่ท้องลงไปในหนัง"


    เป็นเวลา 13ปีที่ได้ร่วมงานกับท่านมุ้ย นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ?
    พันเบิร์ด : "ความคิดของผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เราเคารพท่านมุ้ย เหมือนกับเมื่อก่อนนี้เป็นครู เป็นเหมือนกับพ่อของกองถ่าย และพ่อคนนี้ก็จะมอบสิ่งที่ดีให้กับทุกคนในกองถ่ายเสมอ ได้ทำงานกับท่านถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตครั้งหนึ่ง"

    อยากฝากบอกอะไรกับแฟนๆภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ?
    ผู้พันเบิร์ด :"ผมอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคน รวมถึงชาวต่างชาติมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนอวสานหงสา สืบเนื่องมาจากที่ว่า ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคน อยากให้ลองเปิดใจก่อน แล้วเข้ามาดูเถอะครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เข้ามาแบบใจโล่งๆ สบายๆ แล้วเอามาเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ท่านจะได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้กลับไป ดู1รอบท่านจะได้ข้อคิดอย่างนึ่ง ดู2 รอบท่านจะได้ข้อคิด 3รอบด 6 รอบ 7 รอบ ผมเชื่อว่าทุกรอบที่ดู มันจะได้ข้อคิดกลับไปเสมอ บางคนมาซึมซับหรือมาสัมผัสภาษาที่สวยงาม   บางคนก็มาดูเสื้อผ้าที่สวยงาม บางคนก็มาดูเอาเนื้อหาของมัน บางคนก็มาดูแสงที่สวย ภาพที่สวย เพราะผมเชื่อว่ามารับรองได้อะไรกลับไปอย่างแน่นอนครับภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นกำลังใจให้คนดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคตอย่างมีหลักของการดำเนินชีวิตแน่นอนครับ"

 

 

 

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X