|
กฎหมายที่เกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาในไทย ถือว่ารัฐบาลยังเห็นความสำคัญของโรงเรียนกวดวิชาต่อระบบการศึกษาทำให้กฎหมายยังเปิดกว้างต่อการทำธุรกิจ โดยในญี่ปุ่นและสิงคโปร์นั้นมีการตั้งคณะกรรมการแยกออกจากกระทรวงศึกษาเพื่อกำกับและตรวจสอบโรงเรียนกวดวิชาโดยเฉพาะ ซึ่งในสิงคโปร์มีการกำหนดคุณสมบัติของครูที่จะมาสอนพิเศษของแต่ละระดับชั้น และการควบคุมการโฆษณาที่ไม่ให้เกินจริง นอกจากนี้เกาหลีใต้และฮ่องกงได้มีการจำกัดจำนวนนักเรียนในแต่ละห้องเรียนเพื่อให้การเรียนกวดวิชามีประสิทธิภาพสูงสุด
3 ประเทศในเอเชียที่มีนักเรียนกวดวิชาสูงสุด
สำหรับประเทศไทย สัดส่วนนักเรียนกวดวิชาต่อนักเรียนในระบบที่ยังไม่มากทำให้ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชายังมีโอกาสขยายตัวอีกมากในอนาคต โดยรายได้ของธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาทั้งระบบมีประมาณ 10,000 ล้านบาท จากจำนวนนักเรียนราว 535,000 คน โดยถ้าคิดเป็นสัดส่วนเทียบกับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ จะพบว่าสัดส่วนนักเรียนกวดวิชามีเพียง 14% แต่ถ้าเทียบเฉพาะในกรุงเทพฯ ก็จะมีสัดส่วนนักเรียนกวดวิชาประมาณ 55% ซึ่งถือว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชียด้วยกันเกาหลีใต้มีสัดส่วนนักเรียนกวดวิชาเทียบกับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาประมาณ 74% ญี่ปุ่นประมาณ 70% แสิงคโปร์มีถึง 90% นอกจากนี้ครอบครัวในเกาหลีใต้ยังมีอัตราค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเรียนกวดวิชาที่ 16% ในขณะที่ครอบครัวไทยใช้จ่ายค่าเรียนพิเศษเพียง 2% – 3% ต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ในต่างจังหวัดที่มีการขยายตัวของจำนวนโรงเรียนและนักเรียนกวดวิชาแบบก้าวกระโดด ซึ่งช่วงปี 2007 – 2013 โรงเรียนกวดวิชาในต่างจังหวัดเติบโต 139% เมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ ที่เติบโต 69% และจำนวนนักเรียนที่เรียนพิเศษในต่างจังหวัดขยายตัว 58% เทียบกับในกรุงเทพฯ ที่ขยายตัว 42% แสดงให้เห็นว่าศักยภาพการขยายตัวในต่างจังหวัดนั้นมีมากกว่า และเมื่อคำนึงถึงสัดส่วนต่อจำนวนประชากรแล้วโอกาสการเติบโตในต่างจังหวัดยังมีอยู่มาก
การศึกษาไทยวัดผลที่การสอบเป็นหลัก
นอกจากนี้ ระบบการศึกษาที่ยังเน้นการวัดผลจากการสอบ โดยเฉพาะการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยนั้นจะเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาเติบโตยิ่งขึ้น วัฒนธรรมการศึกษาของไทยนั้นส่งเสริมและเน้นการวัดผลจากคะแนนสอบเป็นหลัก โดยประเทศในแถบตะวันตกและเอเชียเช่นเกาหลีใต้และมาเลเซียนั้นจะมีการวัดผลในการคัดเลือกนักเรียนที่หลากหลายกว่าเช่น การนำประวัติการทำงานหรือฝึกงาน และการทำงานเป็นอาสาสมัครมาเป็นตัวแปรในการคัดเลือกด้วย
นอกจากนี้สถิติปี 2013 ชี้ว่าจำนวนนักเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ 5 อันดับของไทยรับเข้าศึกษาคิดเป็นเพียง 7.8% ของนักเรียนระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 ทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันของการศึกษาในไทยนั้นสูงมาก ทำให้ผู้ปกครองและนักเรียนที่จะเข้าเรียนต่อในมหาลัยชั้นนำจำเป็นต้องเรียนกวดวิชาเพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบในการเตรียมตัวสอบให้เหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก marketeer.co.th
ขอขอบคุณที่มา http://campus.truelife.com/