ฟ้องร้องแย่งสเปิร์ม ไขสิทธิ์ใครเป็นเจ้าของ เตือนเป็นชู้ต้องชดใช้!
2015-03-15 12:11:16
Advertisement
คลิก!!!

เรียกว่า ใจหายกันเลยทีเดียว สำหรับกรณี อดีตนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ ที่มีสามีฝรั่งหล่อตาน้ำข้าว แต่ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำ มรสุมชีวิตก็พัดผ่าน พบกับรักร้าวเตียงหัก ที่สำคัญยังโดนฝ่ายอดีตสามี ทวงค่าสินสมรส นอกจากนี้ยังมีคำขอเรียกร้องค่าสเปิร์ม!?! อีกต่างหาก งานนี้ไม่ว่าใครที่ได้เห็นข่าว ก็ต้องอึ้ง! ทึ่ง! และ งง? แม้ฝ่ายนางแบบสาวรุ่นใหญ่ จะอยากมีลูกด้วยวิธีทำกิฟต์ แต่เจอแบบนี้เจ้าตัวก็ต้องถอย ว่าแต่ข้อเรียกร้องลักษณะดังกล่าว ทำได้จริงหรือ!!? "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" สอบถามไปยังแพทย์สูตินรี และ กูรูด้านกฎหมาย มาคลายงง ไขข้อสงสัย

ไขข้อข้องใจสินสมรส แบ่ง 50-50 ทุกกรณี!

นายวันชัย สอนศิริ นักกฎหมายชื่อดัง ไขข้อข้องใจกรณีสินสมรส ว่า ถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรส ก็ไม่สามารถเรียกร้องสินสมรสได้ เพราะไม่มีทะเบียนสมรส หากมีทรัพย์สินเกิดขึ้นระหว่างอยู่ด้วยกันก็อาจจะแบ่งกันตามปกติ จะมาให้แบ่งอะไรต่อกันไม่ได้ เรียกว่าถือกระเป๋าใครกระเป๋ามันกลับบ้าน ใครมีทรัพย์สินอะไรก็เอากลับไป ก่อนแต่งงานมีอะไรก็เอาอันนั้นกลับไป แต่ถ้าทำมาหากินร่วมกันมา ก็แบ่งกันไป เหมือนกับหุ้นส่วน หากยกอะไรให้ เช่น บ้าน หรือที่ดินให้ ฝ่ายหญิง ฝ่ายชายก็ไม่ทวงไม่ได้ ถือว่าให้โดยเสน่หา

ใครเล่นชู้ อาจถูกฟ้องเรียกค่าทดแทนได้

อ.วันชัย ยังให้ความรู้ด้านกฎหมายต่อไปว่า หากฝ่ายชายมีชู้ ฝ่ายหญิงก็สามารถฟ้องหย่าได้ แต่สินสมรส ก็ต้องแบ่งครึ่งเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนผิด แต่หากฝ่ายชายผิด ฝ่ายหญิงสามารถเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ นอกจากนี้ เรายังสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับหญิงหรือชายชู้ได้ หากได้ทำกันอย่างเปิดเผย โดยตามกฎหมายบอกว่า สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากฝ่ายชู้ได้ ส่วนจะเรียกเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับฐานะหน้าตาของแต่ละคน โดยศาลจะเป็นผู้พิจารณา ภาวะฐานะทางสังคม ยกตัวอย่างคุณหญิงคุณนาย พบว่าถูกแย่งสามี จึงมีการต่อสู้กัน ค่าเรียกร้องอาจจะต่างกัน แต่เราสามารถฟ้องร้องเท่าไหร่ก็ได้ แต่ศาลจะให้เท่าไหร่ก็อยู่ที่ศาล แต่ถ้าไม่จดทะเบียนสมรส ก็ไม่สามารถเรียกร้องได้

นายวันชัย สอนศิริ


สเปิร์มไม่ใช่ทรัพย์สิน เรียกคืนได้!!

"หากจดทะเบียนสมรส ก็ต้องใช้หลักตามกฎหมาย หากเป็นประเทศไทยก็ต้องใช้กฎหมายไทย แปลว่า อะไรที่ได้มาระหว่างสมรสทั้งหมดชายหรือหญิง ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ทรัพย์สิน ที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นชื่อของฝ่ายใดเป็นเจ้าของก็ตาม สามี และ ภรรยา ก็ต่างมีสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง ดังนั้น เมื่อหย่ากัน ทรัพย์สินอะไรที่ได้มาในช่วงที่แต่งงานกันต้องแบ่งครึ่งหมด ส่วนสเปิร์ม ไม่ใช่ทรัพย์สิน หากยังเก็บอยู่ก็สามารถเรียกคืนได้ เพราะถือเป็นสิทธิ์ของฝ่ายชาย แม้จะยกให้ แต่ฝ่ายชายไม่ประสงค์จะให้สเปิร์มไปทำกิฟต์ ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ เพราะหลักการจะทำกิฟต์ ตามกฎหมายต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของด้วย หากเจ้าของไม่ยินยอม แพทย์ก็คงทำให้ไม่ได้ แต่ถ้าฉีดเข้าไปในร่างกายผู้หญิงไปแล้วก็ถือว่าให้แล้ว จบกันไป มาฟ้องร้องไม่ได้"

หน้าตาของสเปิร์ม

นำสเปิร์มไปใช้พลการ หมออาจถูกดำเนินคดี

ด้าน นพ.สมชาย ธนวัฒนาเจริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวช คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของสเปิร์มจะอย่างไรก็เป็นของเจ้าของ เพราะตอนที่เขาให้ เขายังเป็นคู่สมรสอยู่ แต่เมื่อเลิกกัน ภรรยาก็กลายเป็นคนอื่น ทั้งนี้ คู่สมรสส่วนใหญ่ที่มาทำเรื่องนี้เพราะมีบุตรยาก เขาจะไม่ระบุว่าบริจาค ดังนั้น ใครก็จะเอาของเขาไปไม่ได้ หากแพทย์เอาสเปิร์มของเขาไปใช้ก็ถือว่ามีความผิดด้วย เรียกว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ของคนไข้ แพทย์อาจถูกดำเนินคดีได้ ดังนั้น เรื่องนี้แพทย์เองก็ต้องระมัดระวัง กลับกัน หากเขาระบุว่าบริจาคสเปิร์ม ก็สามารถเอาไปใช้ได้

"ยกตัวอย่างเช่น มีคนไข้รายหนึ่งมาเจาะเลือดเพื่อบริจาคเพื่องานวิจัยชิ้นหนึ่ง แต่ปรากฏว่ามีเลือดเหลือ จะเอามาใช้กับงานวิจัยอีกชิ้น แบบนี้ทำไม่ได้ เพราะถือว่าผิดจริยธรรมการทำวิจัย"


ขั้นตอนการให้สเปิร์ม

นพ.สมชาย กล่าวถึงกรณีการให้สเปิร์ม ว่า ก่อนให้สเปิร์มแพทย์ก็มีการตรวจร่างกายก่อน เพื่อหาภาวะติดเชื้อบางอย่าง โดยทั่วไปคู่สามีภรรยาก็จะตรวจก่อนแต่งงานอยู่แล้ว เช่น หาโรค HIV หรือ โรคทางพันธุกรรมบางโรค ซึ่งคนที่จะมีบุตร จะมีการตรวจเพื่อป้องกันโรคติดต่อสู่บุตรอยู่แล้ว

"ส่วนเรื่องการบริจาคสเปิร์ม เราก็ไม่สามารถนำทุกคนมาตรวจก่อนบริจาคได้ แต่ก็จะมีการตรวจเพื่อให้รู้ว่าสเปิร์มของผู้บริจาคมีประโยชน์หรือไม่ บางคนที่บริจาคอาจจะไม่มีสเปิร์ม หรือ มีแค่ 1% โอกาสท้องยาก แบบนี้ก็จะไม่รับเพราะไม่สามารถนำไปใช้ได้

การนำสปิร์มมาใช้ เราสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การผสมเทียม คือการฉีดน้ำเชื้อเข้าไปในฝ่ายหญิง แต่นั่นแปลว่าเราตรวจแล้วว่าฝ่ายหญิงมีไข่ตก มีมดลูกที่ปกติ ที่เหลือก็นำมาใช้กับเทคโนฯ

ส่วนวิธีการให้นั้น คนไข้จะมีห้องที่เป็นส่วนตัว จากนั้นก็ให้ช่วยตัวเอง แต่ส่วนใหญ่จะมีปัญหาตรงที่ว่า อยู่ในบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย ก็ไม่สามารถบิวด์อารมณ์ได้ อาจจะมีดีวีดีให้เขาดู เมื่อได้แล้วก็ให้เขาใส่ภาชนะที่เตรียมให้

เก็บสเปิร์มด้วยวิธีแช่แข็ง แต่เก็บนานแล้วนำมาใช้ โอกาสสำเร็จก็น้อยลง!

ส่วนเรื่องการเก็บรักษานั้น นพ.สมชาย บอกว่า ถ้าแช่แข็งเอาไว้ จะเก็บไว้ได้นาน ส่วนอุณหภูมิที่เก็บนั้น ตนไม่แน่ใจว่า -8 องศาฯ หรือมากกว่านั้น เอาเป็นว่าเราแช่แข็งเอาไว้ ส่วนวิธีจะใช้ก็จะนำมาละลายให้เป็นของเหลวก่อน จากนั้นค่อยฉีดเข้าไปในร่างกายของฝ่ายหญิง ส่วนระยะเวลาที่เก็บนั้น ยิ่งเก็บนานเท่าไหร่ การนำสเปิร์มกลับมาใช้ผลความสำเร็จก็จะน้อยลง ส่วนเงื่อนเวลาจะกี่ปีถึงจะเสื่อมคุณภาพหรือไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้นั้น อันนี้ไม่แน่ใจ

นพ.สมชาย ธนวัฒนาเจริญ

วิธีสังเกตสเปิร์มแข็งแรงหรือไม่

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวช กล่าวว่า สังเกตจากรูปร่างสเปิร์มและการเคลื่อนไหว หากรูปร่างสมบูรณ์ หัวและหางไม่มีความผิดปกติ หางไม่สั้นหรือยาวเกินไป ซึ่งรูปร่างของมันก็เหมือนกับลูกอ๊อด เมื่อก่อนจะมีนักวิทยาศาสตร์มานั่งดูสเปิร์มว่าตัวไหนใช้ได้หรือไม่ แต่ปัจจุบันเรามีเครื่องที่สามารถแยกแยะได้เลย ว่ามีสเปิร์มที่สมบูรณ์กี่เปอร์เซ็นต์

หมอแนะวิธีเพิ่มพลังให้สเปิร์ม

กรณีมีรูปร่างผิดปกติ หรือ มีสเปิร์มน้อย หรือ โรคบางอย่างที่ติดตัว เช่น มีโรคประจำตัวเป็นโรคคางทูม และทำให้ลูกอัณฑะอักเสบ ตั้งแต่เด็ก ทำให้สเปิร์มมีความผิดปกติแบบถาวร เรียกว่าสร้างมาแบบไหนก็เป็นแบบนั้น ส่วนกรณีไม่แข็งแรง โดยมีสาเหตุมาจากกินเหล้า สูบบุหรี่ นอนดึก เราก็สามารถแก้ปัญหาที่สาเหตุ ด้วยการบำรุงร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดเหล้าบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะทำให้สเปิร์มแข็งแรงขึ้น แต่ถ้ามีความผิดปกติที่ลูกอัณฑะแล้ว อันนั้นแก้ไม่ได้

มีหลายวิธีเพื่อช่วยให้มีลูกน้อย

เทคโนโลยีก้าวหน้า สามารถเลือกเพศของลูกได้ แต่ผลลัพธ์ไม่ 100%

เมื่อถามว่า การคัดเลือกสเปิร์ม ทำให้สามารถเลือกเพศของลูกได้หรือไม่ นพ.สมชาย ตอบว่า เราเลือกสเปิร์มเป็นเอ็กซ์ หรือ วาย ได้ แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น เราสามารถสร้างสภาวะที่เหมาะสมกับสเปิร์มบางเพศได้ เช่น เรารู้ว่าเพศใดชอบในสภาวะกรด อีกเพศหนึ่งชอบสภาวะด่าง จากนั้นก็สร้างสภาวะที่ตนอยากได้ เพื่อให้อีกเพศหนึ่งอ่อนกำลัง เคลื่อนไหวช้า ขณะเดียวกันโครโมโซม เพศที่เราอยากได้ก็จะทำงานได้ดีกว่า แต่วิธีการนี้ก็ยังได้ผลลัพธ์ไม่ 100% เพราะถึงเราจะกดมันไว้ แต่ก็อาจจะหลุดรอดมาได้ เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีที่แพทย์ไทยทำได้ แต่ไม่ 100% เพียงแต่เพิ่มเปอร์เซ็นต์ให้กับเพศที่เราอยากได้ จาก 50 : 50 เป็น 70 : 30 เป็นต้น

ขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์

ทำกิฟต์ เทคโนโลยีล้าหลัง ปัจจุบันนิยมเด็กหลอดแก้ว

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวช คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวต่อว่า การทำกิฟต์ ถือเป็นเทคโนโลยีเก่าและไม่นิยมแล้ว ปัจจุบันเราจะใช้เทคโนโลยีเด็กหลอดแก้วมากกว่า ซึ่งวิธีนี้ เป็นคำเรียก ที่จริงก็ไม่ใช่เด็กหลอดแก้วอย่างที่เข้าใจ แต่มันคือไข่ที่ผสมแล้ว และใส่เข้าไปในตัวผู้หญิง แต่ด้วยฝรั่งเขาเรียกว่า "test tube baby" จึงเป็นคำเรียกเด็กหลอดแก้ว แต่แท้จริงมันคือการปฏิสนธิภายนอก ไข่กับสเปิร์มมาเจอกันข้างนอกให้เป็นตัวอ่อน จากนั้นก็เอาตัวอ่อนใส่เข้าไป ซึ่งเทคโนโลยีนี้คือเทคโนโลยีที่ใช้มากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งในเชิงเทคนิคก็มีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ

เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จการทำกิฟต์ ขึ้นอยู่กับ...

"ความสำเร็จจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ยิ่งใกล้วัยทอง โอกาสสำเร็จจะยิ่งน้อย ซึ่งคำว่าวัยทอง ของผู้หญิงแต่ละคน ตัวเลขอายุก็ไม่เท่ากัน ดังนั้น จึงไม่ใช่ปัจจัย วิธีการที่ใช้ก็คือการตรวจฮอร์โมน เพื่อดูว่าเขาใกล้วัยทองหรือยัง" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวช กล่าว

 

ขอขอบคุณที่มา  ไทยรัฐออนไลน์

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X