|
ในอดีตมีผู้รับเด็กกำพร้าชาวเกาหลีใต้ จากสงครามในจำนวนสูงมาก คู่สามีภรรยาจากต่างแดนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา มักอุปการะไปให้ความรักและชีวิตใหม่แก่เด็กๆ เหล่านั้น
บีบีซีรายงานสารคดีเจาะลึกว่า ปัจจุบันสถานการณ์เด็กกำพร้าในเกาหลีใต้ไม่ใช่ เช่นนั้น
เมื่อเกิดกระแสที่ชาวเกาหลีใต้อับอายต่อสถานการณ์ดังกล่าว เพราะในช่วงเวลาที่ประเทศมีเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรือง เด็กกลับถูกทอดทิ้งจำนวนมาก และยังต้องไปเป็นภาระประเทศอื่น
เกาหลีใต้จึงปรับแก้กฎหมายเสียใหม่ โดยที่นอกจากคนเกาหลีแล้ว ชาวต่างชาติจะไม่มีสิทธิรับอุปการะเด็กเหล่านี้เหมือนเมื่อก่อนได้อีก รวมทั้งบังคับให้เด็กทุกคนต้องจดทะเบียนก่อนที่จะส่งให้คนอื่นอุปการะด้วย
การเยือนสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในเกาหลีใต้ของนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจากอังกฤษ เมื่อปี 2550 ทำให้เห็นภาพว่า ทุกวันนี้สถานสงเคราะห์แต่ละแห่งจึงเต็มไปด้วยเด็กกำพร้าที่ยังไม่สามารถหาบ้านใหม่ได้
ยังมีคนเกาหลีจำนวนมากที่ต่อต้านการอุปการะบุตรบุญธรรม หรือถ้าใครจะอุปการะจริงๆ ก็มักจะทำกัน อย่างลับๆ
เช่นหนูน้อยชอย ฮยุนจิน เมื่อตอนที่พ่อแม่บุญธรรมเธอรับอุปการะมาใหม่ๆ พวกเขาก็ต้องปิดเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดสนิทกันก็ตาม
"เราไม่กล้าแม้แต่จะบอกพ่อแม่เราด้วยซ้ำ เพราะเราเชื่อว่าพวกท่านต้องรับไม่ได้แน่นอน แล้วก็ต้องถามว่า ไปเอาลูกคนอื่นมาทำไม" นายและนางชอยกล่าว
น.ส.โฮลลี แม็กจินนิส ชาวเกาหลี-อเมริกัน ที่ในอดีตเคยเป็นเด็กกำพร้าและมีคนอุปการะไป จนบัดนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วและทำวิจัยเกี่ยวกับ "ปัญหาการอุปการะบุตรบุญธรรมที่มีอิทธิพลต่อชีวิตในระยะยาว" เผยถึงที่มาของกระแสต่อต้านการอุปการะเด็กว่า เพราะคนเกาหลีให้ความสำคัญเรื่องพื้นเพของครอบครัวมาก โดยถือว่ามีความสำคัญต่อทุกอย่าง แม้อาชีพการงาน ซึ่งถ้าหากนายจ้างไม่ทราบภูมิหลังของผู้สมัครชัดพอ ก็มีสิทธิที่จะไม่รับเข้าทำงานได้
ส่วนน.ส.มอลลี ชาวอเมริกัน ลูกสาวเจ้าของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในเกาหลี กล่าวถึงสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้จำนวนเด็ก ถูกทิ้งเยอะขึ้น ว่ามาจากการบังคับให้พาลูกไปจดทะเบียน ซึ่งในเอกสารจะมีการยืนยัน ความเป็นแม่ลูก และถ้าหากหญิงคนใดเป็นม่าย เธอก็อาจไม่ได้แต่งงานอีก เพราะผู้ชายโดยปกติจะไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงที่มีลูกแล้ว
ปิดท้ายด้วยชีวิตของนายสตีเฟ่น มอริสัน ชาวเกาหลีผู้มุ่งมั่นรณรงค์ให้สังคมในประเทศบ้านเกิดหันมาให้ความสำคัญกับการอุปการะเด็กกำพร้า ก็เล่าประสบการณ์ในวันเก่าๆ ว่า เมื่อก่อนเขาเคยอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์ถึง 8 ปีเต็ม ก่อนจะมีครอบครัวชาวอเมริกันมารับไปเลี้ยงที่ลอสแองเจลิส จนเขาโตเป็นผู้ใหญ่มาได้อย่างทุกวันนี้
"ผมอยู่สถานสงเคราะห์ตั้งแต่ 6 ขวบ จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี ถึงมีคนรับผมไปเลี้ยง" นายมอริสันกล่าว
"ตั้งแต่นั้นมา ผมก็รู้สึกได้ถึงความรักและความใส่ใจ ชีวิตผมเดินหน้าไปด้วยดีเพราะพวกเขา ได้เรียนหนังสือ ได้เป็นผู้เป็นคน"
นายมอริสันกล่าว ก่อนจะทิ้งท้ายว่าเมื่อตอนที่กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เกาหลี เขาได้พบบรรดาเพื่อนเก่าที่สถานสงเคราะห์ ซึ่งบัดนี้ก็ยังหาบ้านใหม่ไม่ได้
"ผมโตมากับพวกเขา แม้ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ เห็นแล้วผมรู้สึกโชคดีมากที่มีตัวเองมีคนอุปการะ ได้ชีวิตใหม่ ในขณะที่เพื่อนๆ ผมไม่ได้รับโอกาสนั้น"