เตือนคอทองแดง สิงอมควัน เคี้ยวหมาก เอาหน้าไปท้าแดด เสี่ยงมะเร็งช่องปาก เหตุความร้อนจากบุหรี่ เหล้า ทำให้เนื้อเยื่อช่องปากระคายเคือง พบป่วยในชายมากกว่าผู้หญิง แนะผู้ชายอายุ 40 ปี ตรวจคัดกรอง

        นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ข้อมูลทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล ปี 2555 ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่า โรคมะเร็งริมฝีปากและช่องปาก พบมากเป็นลำดับที่ 6 ของการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยรายใหม่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายพบในอายุ 55 ปี และผู้หญิงพบในอายุ 75 ปีขึ้นไป ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งช่องปาก ได้แก่ ผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่ เคี้ยวยาสูบ และเคี้ยวหมากเป็นประจำ เพราะความร้อนจากบุหรี่และแอลกอฮอล์ จะทำให้เนื้อเยื่อในช่องปากระคายเคือง อักเสบ หนาตัวขึ้น ลิ้นเป็นฝ้าขาวเสี่ยงต่อการเปลี่ยนเป็นมะเร็งช่องปาก
       
       นพ.พรเทพ กล่าวว่า ชายวัย 40 ปีขึ้นไปถือเป็นกลุ่มเสี่ยง จึงควรรับการตรวจช่องปากเป็นประจำ และลดหรืองดการสูบบุหรี่ เคี้ยวยาสูบ เคี้ยวหมาก การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนเกินไป และหลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดดโดยตรงบริเวณใบหน้า รวมทั้งควรดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ไม่ให้มีฟันผุ ฟันแตก บิ่น หรือใส่ฟันเทียมแล้วไม่พอดีกับปากอาจทำให้เกิดแผลระคายเคืองเนื้อเยื่อบริเวณกระพุ้งแก้ม และลิ้นได้
       
       “อาการของโรคมะเร็งช่องปาก คือ จะมีแผ่นฝ้าสีขาวหรือสีแดง ขูดไม่ออก บริเวณลิ้น โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างลิ้น โคนลิ้น ใต้ลิ้น เพดานปาก กระพุงแก้ม เหงือก หรือมีอาการผิดปกติอย่างอื่น เช่น เป็นแผลในปากที่มีเลือดออกง่าย ไม่หายเองใน 2 สัปดาห์ หรือมีก้อนหนาที่อาจมีหรือไม่มีความเจ็บปวดในช่องปาก ลำคอ หรือลิ้น ซึ่งทำให้ยากลำบากในการเคี้ยวและการกลืน หากเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ และพบตั้งแต่ระยะที่ 1 จะมีอัตราการรอดสูงถึงร้อยละ 90 แต่หากตรวจพบช้าหรือเข้าสู่ระยะที่ 4 จะมีอัตราการรอดเพียงร้อยละ 10 ซึ่งผู้ป่วยโรคมะเร็งริมฝีปากและช่องปากจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่ออีก 5 ปีเท่านั้น” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
       
       นพ.พรเทพ กล่าวว่า ผู้ที่เป็นกลุ่มเสึ่ยงจึงควรดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสมด้วยสูตร 2 : 2 : 2 ได้แก่ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 2 นาที และงดรับประทานอาหารหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ ควรเพิ่มการรับประทานผัก และผลไม้ ให้หลากหลายชนิดเป็นประจำเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งด้วย


ที่มา  http://www.manager.co.th/