ปั้นหนูให้เรียนเก่งขั้นเทพ
2012-07-10 07:45:41
Advertisement
คลิก!!!
เรียนหนังสืิอ


ปั้นหนูให้เรียนเก่งขั้นเทพ (M&C แม่และเด็ก)

เรื่องเรียนดีเรียนเก่ง คงไม่ใช่เรื่องที่เกิดได้ตามธรรมชาติแน่นอนค่ะ คุณแม่เคยแอบสงสัยไหมคะ ว่าทำไมเพื่อนลูกคนโน้นคนนี้เรียนเก่งกันจัง หันกลับมามองที่ลูกเรา ก็อาจตั้งใจแล้วแต่ก็ยังไปไม่ถึงไหนทั้งที่เอาจริง ๆ แล้ว ไอคิวของเจ้าหนูเรารับรองไม่เป็นรองใครแน่ ๆ

เคล็ด (ไม่) ลับเรียนเก่ง

1.ให้คุณแม่จัดหาโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งเรียนหนังสือที่บ้าน พยายามจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เด็กมีสมาธิและอยากเรียนมากยิ่งขึ้น

2.ตั้งโปรแกรมแต่ละวันอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหน เอาให้พอประมาณค่ะ แต่ต้องลงมือทำอย่างเต็มที่จนเสร็จทุก ๆ วันอย่างมีระเบียบวินัย

3.บางวิชาที่ยาก ๆ ลูกไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ก็ให้ลองนัดรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ช่วยกันติว ช่วยกันเรียน ผลัดกันค้นคว้า ตั้งคำถาม งานนี้ เรียกว่า เก่งยกแก๊งค่ะ

4.เรื่องทบทวนบทเรียนก็ห้ามละเลยค่ะ วันละนิดวันละหน่อย พอจิตแจ่มใส แต่ต้องฝึกจนเป็นนิสัยค่ะ

5.คุณแม่อาจช่วยเจ้าตัวเล็กฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอ ๆ ได้ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ, จัดระเบียบความคิด และสรุปเนื้อหาจะช่วยในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ฯลฯ

6.ข้อนี้สำคัญ คุณแม่ต้องพยายามเป่าหูลูกบ่อยๆ ค่ะ อิ อิ โดยบอกว่าให้นั่งใกล้คุณครูมากที่สุด เพราะจะได้ไม่มีอะไรมาดึงความสนใจในการเรียนมากนัก

7.อย่าปล่อยให้ดินพอกหางหมูเด็ดขาดค่ะ พยายามให้ลูกทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าทำเสร็จเร็วเท่าไร จะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น

อาการสมองต้องไม่ลืม

เด็กที่เรียนเก่งเรียนดี ร่างกายก็ต้องสมบูรณ์แข็งแรงด้วยค่ะ ยิ่งพวกอาหารบำรุงสมองก็ต้องเน้นกันบ้าง

ปลาทะเลน้ำลึก สมองของเรามีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่า 60% เชียวนะคะ ซึ่งมันหมายความว่าเราต้องการไขมันชั้นดีอย่างโอเมก้า 3 นั่นเองค่ะ

ข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้องดีต่อสุขภาพเสมอ นอกจากข้าวกล้องจะเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีแล้ว ยังให้โปรตีนที่ผลิตกรดอะมิโนที่เป็นตัวส่งสารอาหารไปยังสมองด้วย

สตรอเบอร์รี่ ผลไม้นี้เด็ก ๆ ชอบกันมากค่ะ ซึ่งก็มีการทดลองให้สตรอเบอร์รี่กับหนูที่อายุมาก พบว่ามันช่วยพัฒนาทั้งประสิทธิภาพในการเรียนรู้และประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อสมองด้วย

ผักขม ช่วยชะลอปัญหาในเรื่องประสิทธิภาพของสมองส่วนกลาง และการรับรู้ที่เสื่อมลงไปตามวัย ทำให้สมองกระฉับกระเฉงอยู่เสมอค่ะ

สอนให้รู้จัก "แบ่งเวลาเป็น"

ถึงแม้ว่าคุณลูกจะชอบเล่นเกม อ่านการ์ตูน เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ แต่ของแค่รู้จักแบ่งเวลาให้เป็น เวลาไหนเล่นก็เล่น เวลาไหนเรียนก็เรียน จะเล่นวันละกี่ชั่วโมงก็ได้ แต่ที่สำคัญต้องรู้จักเจียดเวลามาเรียน นอกเหนือจากในห้องเรียนสักวันละ 30 นาที-1 ชั่วโมงก็พอแล้ว (วันเสาร์-อาทิตย์ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้) วิธีง่าย ๆ แต่ได้ผลชะงัดมานักต่อนักแล้วค่ะ

ข้อมูลจากกระปุกดอดคอม

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X