6 อาการแปลกระหว่าง ตั้งครรภ์
2012-07-03 07:50:58
Advertisement
คลิก!!!

ตั้งครรภ์



6 อาการแปลกระหว่างท้อง (Mother & Care )
เรื่อง : ปัณณธร

ความจริงระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ครั้งแรก ไม่ว่าจะมีอาการอะไรเกิดขึ้นคุณแม่มักเป็นกังวล และรู้สึกถึงความผิดปกติ ทั้งที่ความเป็นจริง บางอาการเป็นอาการปกติ ของคุณแม่ตั้งครรภ์นั่นเอง

ฉบับนี้ Mother&Care ครบรอบปีที่ 6 จึงขอนำเสนอ 6อาการที่คุณแม่ส่วนใหญ่คิดว่าแปลกมาให้คลายกังวล เพื่อการตั้งครรภ์อย่างเป็นสุขกันค่ะ

1. เจ็บกระดูกใต้อก

"นั่งก็เจ็บ นอนก็เจ็บ ทำไม่ไม่สบายตัวอย่างนี้นะ"

อาการเจ็บแปลบบริเวณใต้อก ไม่ได้เป็นอาการที่ร้ายแรง แต่บางคนอาจจะปวดจนรู้สึกทรมาน บางคนปวดแค่พอให้หงุดหงิดใจ เหมือนมีอะไรมาตำ ๆ บริเวณใต้อกด้านใดด้านหนึ่ง เกิดจากมดลูกขยายตัวไปกดทับอวัยวะต่าง ๆ โดยที่อาการเจ็บใต้อกที่ไปกดทับกระดูกทำให้เจ็บกระดูกใต้อกนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อคลอดแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาที่เกิดขึ้นหลังคลอดแน่นอนค่ะ

วิธีป้องกัน

เลือกบราที่พอดีกับหน้าอกที่ขยายขึ้น อย่าทนใส่บราขนาดเดิม ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพราะยิ่งไปเพิ่มการกดทับของกระดูกมากขึ้น และควรเลือกบราที่สวมใส่สบาย ไม่มีโครงมากดทับ

ใครที่ติดการนั่งหลังค่อม ต้องพยายามยืด นั่งหลังตรง โดยมีหมอนรองไว้ด้านหลัง เพื่อให้บริเวณใต้อกมีเนื้อที่มากขึ้น

บรรเทาอาการเจ็บโดยการนั่ง แล้วยกมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะ แล้วให้อีกคนช่วยดึงแขนคุณแม่ขึ้นทีละข้างช้ าๆ สลับไปมา จะช่วยลดอาการเจ็บกระดูกได้

2. มีลมในท้อง

"เรอจนอายเพื่อนข้างโต๊ะแล้วนะ ทำยังไงดีเนี่ย"

เวลาเราพูด กินอาหาร เกิดความเครียด ในลำไส้มีแบคทีเรียมากเกินไป ล้วนทำให้เกิดลมในท้อง ส่งผลให้เรารู้สึกไม่สบาย อึดอัด ปวดมวนท้อง แต่ถ้าได้ผายลม หรือเรอ ก็จะทำให้สบายท้อง สบายตัวมากขึ้น

สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อึดอัด รำคาญกับอาการลมในท้อง ท้องอืด เรอเหม็นเปรี้ยว ผายลม ยิ่งถ้าต้องทำงานอยู่นอกบ้านด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเพิ่มขึ้นไปอีก (บางทีก็ผายลม หรือเรอออกมาชนิดห้ามไม่ทัน ยั้งไม่อยู่กันเลย)สาเหตุที่ทำให้มีอาการแบบนี้ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังเป็นเพราะมดลูกที่ใหญ่ขึ้นไปเบียดกระเพาะอาหาร เนื้อที่ในการบรรจุอาหารจึงน้อยลงกระเพาะก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ ย่อยอาหารไม่สะดวก จึงเกิดมีลมในกระเพาะขึ้นได้ ยิ่งเมื่ออายุครรภ์หลังจาก7 เดือนไปแล้ว บางท่านอาจได้ยินเสียงโครกครากในท้อง และรู้สึกว่ามีลมมากจนท้องกลมเป่งก็เป็นได้ค่ะ

วิธีป้องกัน

เมื่อเนื้อที่ในกระเพาะอาหารมีน้อยลง ดังนั้นจากที่เคยกินข้าวมื้อละ 1 จานพูน ๆๆ ก็อาจจะเหลือสัก เกือบ ๆ 1 จาน แล้วเว้นช่วงสัก 2-3 ชั่วโมง แล้วค่อยกินอีกนิดหน่อย คือ การซอยย่อยมื้ออาหารให้เป็นมื้อเล็ก ๆ แต่ถี่ขึ้นกระเพาะอาหารจะได้ย่อยอาหารได้สะดวกขึ้น คุณแม่จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป

กินอาหารที่ย่อยง่าย ๆ เช่น เนื้อปลา ข้าวต้ม หลีกเลี่ยงอาหารมัน ๆ อาหารทอด เพราะเป็นอาหารย่อยยาก และเครื่องดื่มที่มีแก๊ส อย่างน้ำอัดลม หรือโซดา

คุณแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อยาขับลมมากินเองนะคะ ถ้าอึดอัดมากจนรู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ไปพบคุณหมอดีกว่าค่ะ

3. ปัสสาวะเล็ด

"แย่แล้ว ทำไมเราถึงอั้นไม่ได้ล่ะ อะไรๆ ข้างในต้องหย่อนยานแน่เลย"

ความจริงอาการปัสสาวะเล็ด ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์เท่านั้น สังเกตดี ๆ คนปกติธรรมดา ๆ ก็เป็นกันค่ะ แต่อาจจะเกิดไม่บ่อย ปกติเราจะควบคุมการไหลปัสสาวะของเราได้ แต่ในบางกรณี เมื่ออยู่เหนือการควบคุมก็ทำให้ปัสสาวะเล็ดลอดออกมาได้เช่นกัน เนื่องจากในช่องท้องมีแรงดันเพิ่มขึ้น เช่น ไอ จาม หัวเราะ หรือเวลาที่เรายกของหนัก ๆ (บางคนเกิดอาการกลัวมาก ๆ ก็ปัสสาวะเล็ดได้เหมือนกัน)

สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง ระบบทางเดินปัสสาวะมีการขยายตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดไม่แข็งแรง ประกอบกับลูกในท้องตัวโตขึ้น มดลูกขยายตัวจนกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้บ่อย ๆ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่ในช่วง3 เดือนสุดท้าย

วิธีป้องกัน

เข้าห้องน้ำทันทีที่รู้สึกปวด ถึงแม้บางคนบอกว่าเบื่อที่จะต้องลุกขึ้นเดินบ่อย ๆ แต่การกลั้นปัสสาวะไว้นานเกินไป จะทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้ ยิ่งถ้ามีอาการไอ จาม หัวเราะ แล้วปัสสาวะเล็ดออกมา ยิ่งทำให้คุณแม่รำคาญกว่าการเดินเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ อีกค่ะ

คุณแม่บางคน ไม่อยากเข้าห้องน้ำบ่อย จึงใช้วิธีดื่มน้ำให้น้อยลง ก็เป็นวิธีที่ผิดเช่นกันค่ะ การดื่มน้อยไม่ได้ ช่วยแก้ปัญหานี้ และอาจเพิ่มปัญหาสุขภาพอื่นตามมาได้ เช่น อาการท้องผูก

หลังคลอดอาการปัสสาวะเล็ดก็จะค่อย ๆ หายไปเองค่ะ ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าคุณแม่ยังมีอาการต่อเนื่อง ก็ควรปรึกษาคุณหมอค่ะ

4. เหงือกอักเสบ

"ทำไมตอนท้องถึงมีเลือดออกที่เหงือก แล้วรู้สึกเจ็บๆ ช้ำๆ ด้วยนะ ทั้งที่ก็ดูแลฟันอย่างดีมาตลอด"

โดยปกติอาการเหงือกอักเสบ จะเกิดจากการดูแลทำความสะอาดฟันไม่ดีพอ มีคราบอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลเกาะบนผิวฟัน ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีกลายเป็นคราบหินปูนเกาะ เป็นที่สะสมของเชื้อมากขึ้นไปอีก ทำให้เหงือกและคอฟันเกิดการอักเสบลุกลาม โดยอาการเริ่มต้นคือ เมื่อแปรงฟันก็มีเลือดออก เหงือกบวม ช้ำ สีคล้ำขึ้น มีกลิ่นปาก

ในช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถทำฟันได้ จึงละเลยในการไปหาหมอฟัน แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องดูแลฟันมากขึ้น ถ้ามีฟันผุหรือถึงเวลาขูดหินปูนก็ต้องไปตามนัดที่ทันตแพทย์กำหนด เนื่องจากถ้าภายในช่องปากไม่ได้รับการดูแลที่ดี มีแบคทีเรียสะสมอยู่ภายในช่องปาก ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุ และเหงือกอักเสบขึ้นมา ข้อควรระวังอีกเรื่องคือ คุณแม่ที่เป็นเหงือกอักเสบมีภาวะเสี่ยงที่ลูกน้อย จะคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อย ลูกไม่แข็งแรง เนื่องจากเชื้อโรคจะไปตามกระแสเลือดเข้าสู่รก และตัวลูกน้อยในท้อง ดังนั้นอย่าปล่อยปละละเลยเรื่องฟันเด็ดขาดนะคะ

วิธีป้องกัน

แปรงฟัน โดยใช้ขนแปรงนุ่ม ๆ แปรงเบา ๆ ทุกครั้งหลังกินอาหาร ถ้าแปรงไม่ได้ให้บ้วนน้ำ แต่อย่างน้อยต้องแปรงวันละ 2 ครั้ง และควรใช้ร่วมกับไหมขัดฟัน

หมั่นไปพบทันตแพทย์ เพื่อขูดหินปูนตรวจเช็กว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับฟันหรือเหงือกหรือไม่ อย่างสม่ำเสมอ

5. เหงื่อออกตอนกลางคืน

"อากาศก็ไม่ร้อน ทำไมเราถึงเหงื่อออกตอนกลางคืนนะ ผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย!"

เป็นเรื่องปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่จะขี้ร้อนมากขึ้น มีเหงื่อออกมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลากลางคืนที่อากาศเย็นสบายก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่า ภายในร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์มีการเพิ่มปริมาณเลือด เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกน้อย ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว จึงทำให้ร่างกายเกิดความร้อนได้มากกว่าปกติ เมื่อร่างกายร้อนก็ต้องมีการระบายออกด้วยกลไกของร่างกาย คุณแม่จึงมีเหงื่อออกมากขึ้นนั่นเองค่ะ

วิธีป้องกัน

ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องป้องกันแต่อย่างใด แต่เป็นวิธีที่เลือกปฏิบัติให้ถูกต้องซะมากกว่า

กินอาหารที่ช่วยลดความร้อนในร่างกาย เช่น ผัก ผลไม้สด ธัญพืชต่างๆ เพราะอาหารจำพวกนี้จะมีวิตามินเกลือแร่อยู่สูง มีโพแทสเซียมมาก ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย

ดื่มน้ำสะอาดในอุณหภูมิปกติ ก็สามารถช่วยลดความร้อนได้ดีเช่นกัน

เลือกเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าเบาสบาย ซับเหงื่อได้ดี ใส่แล้วไม่อึดอัด

6. สีผิวเข้มขึ้น มีเส้นคล้ำที่หน้าท้อง

"ทำไมผิวหนังบางที่ ถึงมีสีเข้มขึ้นล่ะ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในร่มผ้านี่น่า"

ถึงแม้คุณแม่จะมีผิวขาวเป็นทุนเดิม หรือจะมีผิวสีน้ำผึ้งเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อตั้งครรภ์ บริเวณผิวหนังที่มีสีเข้มกว่าปกติ อยู่แล้ว เช่น ลานนม จุกนม รักแร้ หน้าท้อง เส้นตามลำคอ จะมีสีเข้มขึ้น คุณแม่บางคนเป็นกังวล พยายามขัดถูใช้สครับทั้งหลายแหล่มาขัด และทาครีมบำรุงผิว ก็ต้องขอบอกว่า ทำช่วงนี้ ก็ยังไม่ได้ผลค่ะ เพราะสีผิวที่คล้ำขึ้น เกิดจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น ไปกระตุ้นเม็ดสีใต้ผิวหนังให้มีการทำงานขึ้น สีผิว จึงคล้ำขึ้น และในแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนอาจจะไม่เปลี่ยนมากมายนัก แต่ทำให้บางคนกลุ้มใจมากเหมือนกัน

วิธีป้องกัน

ต้องบอกว่า ไม่มีวิธีป้องกันจริง ๆ ค่ะ ในเรื่องนี้ เพราะเกี่ยวกับฮอร์โมนในร่างกายที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนปัจจัยภายนอก แต่สิ่งที่พอจะช่วยได้บ้างคือ การบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนเหมาะกับผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น และการดื่มน้ำสะอาด กินผักผลไม้เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี รับรองว่าได้ผลระยะในช่วงหลังคลอดอีกด้วย และเจ้ารอยดำทั้งหลาย ก็จะค่อย ๆ จางหายไปหลังจากคลอดลูกแล้วเช่นกันค่ะ

6อาการที่กล่าวมาข้างต้น คุณแม่บางคนเป็นมากบางคนเป็นน้อย บางคนมีเพียงไม่กี่อาการ บางคนเป็นครบทุกอาการที่กล่าวมา ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่อย่างใดสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการดูแลสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ให้แข็งแรง ไม่ต้องเครียดกับอาการที่ถือว่า "เป็นปกติ" สำหรับคุณแม่ท้องกันเลยนะคะ

ข้อมูลจากกระปุกดอดคอม

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X