ปิดตำนานร็อคใต้ดิน "ลู รีด" สิ้นลมในวัย 71
2013-10-28 23:01:10
Advertisement
คลิก!!!

"ลู รีด" ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าสร้างงานอันส่งอิทธิพลต่อคนรุ่นหลังมากมาย ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 71 ปี เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา
       
       นิตยสาร The Rolling Stone ได้ยืนยันข่าวการเสียชีวิตของ ลู รีด ศิลปินรุ่นใหญ่อดีตสมาชิกของวง The Velvet Underground ที่เป็นทั้งนักร้อง และนักแต่งเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งแห่งแนวดนตรีร็อคใต้ดิน และเพลงนอกกระแส จนได้ถูกยกย่องว่าผลงานต่างๆ ของเขามีอิทธิพลไปถึงคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะแวดวงอินดีร็อค และพังค์ร็อค ชื่อดังมากมาย
       
       โดยเอเยนต์ส่วนตัวของ รีด ได้เปิดเผยว่าเขาเสียชีวิตจากอาการป่วย ที่เกิดขึ้นเพราะการผ่าตัดเปลี่ยนตับเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ... "ครับ ผมเกรงว่ามันจะเป็นความจริง" แอนดรูว์ ไวลี ตัวแทนของ รีด ยอมรับกับหนังสือพิมพ์ The Guardian เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
       
       รีด มีชื่อจริงว่า ลิวอิส อัลเลน รีด เป็นลูกชายของครัวครอบชาวยิวชนชั้นกลาง เกิดที่บลูกลิน ก่อนจะเติบโตขึ้นมาในย่านฟรีพอร์ต ลอง ไอส์แลน โดยเขาเริ่มสนใจดนตรีร็อคตั้งแต่เป็นวัยรุ่น และฝึกหัดเล่นกีตาร์จากการฟังวิทยุ จนเมื่อเรียนชั้นมัธยมจึงร่วมกับเพื่อนๆ ตั้งวงดนตรีแนวดูว็อปที่ชื่อว่า The Jades ขึ้นมา
       
       ในช่วงวัยรุ่น รีด ยังพบว่าตัวเองเป็นไบเซ็กชวล และถึงกับเคยเข้ารับการรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า เพื่อเยียวยาอาการดังกล่าวเลยทีเดียว โดยเขาเคยนำประสบการณ์ดังกล่าวไปเขียนถ่ายทำผ่านเพลง Kill Your Sons เมื่อปี 1974 มาแล้ว
       
       ในปี 1964 รีด ย้ายไปอยู่นิวยอร์ก และเริ่มต้นทำงานเป็นนักเขียนเพลงของ Pickwick Records ที่ยังทำให้เขาได้รู้จักกับ จอห์น เคล นักดนตรีหนุ่มชาวเวลส์ ที่ย้ายมาอยู่นิวยอร์ก เพื่อเรียนดนตรี และสนใจในเพลงของ รีด มากโดยเฉพาะสไตล์การดีดโน๊ตกีตาร์ซ้ำๆ ต่อมา รีด และเคล ได้ร่วมกันตั้งวง The Velvet Underground สร้างงานที่มีเนื้อหาซับซ้อน และดนตรีแนวทดลอง กล่าวถึงเรื่องราวที่หนักหน่วง ทั้งเรื่องการใช้ยาเสพติด, การค้าบริการทางเพศ, รสนิยมทางเพศแบบซาดิสม์และมาโซคิสม์
       
       อย่างไรก็ตามวงก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากนัก เพราะเพลงต่าง ๆ มีเนื้อหาที่ล่อแหลม จนร้านขายแผ่นเสียงหลายแห่งถึงขั้นปฏิเสธที่จะขายอัลบั้มชุดนี้ สุดท้ายอัลบั้มชุดแรกของวงขายต้องใช้เวลาถึง 5 ปี จึงจะขายได้แตะหลัก 30,000 แผ่น จนเคล ออกจากวงไปในปี 1968 และในอีก 3 ปีต่อมา รีด ก็ถอนตัวจาก The Velvet Underground ไปอีกคน
       
       แต่อีกหลายปีต่อมาอัลบั้มชุดดังกล่าวกลับยังได้รับการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง นักวิจารณ์เพลงหลายคนชื่นชมงานของ รีด และเคล ถึงขั้นที่นักดนตรีชื่อดัง ไบรอัน อีโน เคยกล่าวเอาไว้ว่าถึงงานของ The Velvet Underground ได้ส่งผลให้เกิดวงรุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย "อัลบั้มแรกของ The Velvet Underground ขายได้แค่ 30,000 แผ่นใน 5 ปีแรกก็จริง แต่ผมคิดว่าแต่ละคนที่ซื้ออัลบั้มนั้นไป 30,000 แผ่น ได้กลับไปเริ่มตั้งวงดนตรีของตัวเองขึ้นมากันหมดเลย"
       
       รีด เริ่มต้นเส้นทางสายศิลปินเดี่ยวในปี 1972 และมีเพลงฮิต Walk on the Wild Side เป็นผลงานที่คนจดจำได้มากที่สุด
       
       


       
       ตลอดเวลาหลังจากนั้น รีด ค่อย ๆ สร้างชื่อขึ้นในวงการด้วยงานที่เน้นการทดลองเหมือนที่เคยทำมาตลอดอาชีพในวงการเพลง โดยในปี 1975 เขาออกอัลบั้มชุด Metal Machine Music งานแนวทดลองที่มีความยาว 64 นาที กับเพลงที่แบ่งออกเป็น 4 ภาคอันประกอบไปด้วย Metal Machine Music, Part 1,2,3,4 และนำเสนอดนตรีประเภทอินดัสเทรียล และน็อยส์ร็อก ซึ่งแม้แต่ตัวของ รีด เองก็ยังยอมรับว่า "คงไม่มีใครอยู่ได้ด้วยการทำเพลงแบบนั้นแน่"
       
       แม้จะไม่ได้เป็นศิลปินที่ขายงานเพลงได้เป็นล้าน ๆ แผ่น หรือโด่งดังในตลาดเพลงกระแสหลักอย่างเต็มตัว แต่จาก 5 ทศวรรษในวงการเพลง รีด ได้สร้างงานที่จดจำเอาไว้มากมาย ด้วยเนื้อร้องที่ซับซ้อน, เสียงร้องเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เคียงคู่กับเสียงกีตาร์ดิบบาดหู ในเพลงอย่าง HeroinSweet Jane และ All Tomorrow's Parties เป็นต้น
       
       ความยิ่งใหญ่ของ รีด พิสูจน์ได้จากรางวัลต่าง ๆ ที่เขาได้รับตลอดการทำงานเพลง เช่นเดียวกับการส่งอิทธิพลไปถึงนักดนตรีรุ่นแล้วรุ่นเล่าตั้งแต่ R.E.MNirvana หรือ แพตตี้ สมิธ และอีกนับไม่ถ้วน นอกจากนั้นก็ยังเคยไปเล่นดนตรีในทำเนียบขาวมาแล้ว
       
       รีด ได้กลับมาร่วมงานกับ Velvet Underground ในปี 1990 และยังทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง งานล่าสุดของเขาก็คืออัลบั้มชุด Lulu เมื่อปี 2011 ที่เป็นการร่วมงานกับวง Metallica แม้จะไม่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างเป็นเอกฉันท์ แต่ก็พิสูจน์ว่า รีด ไม่เคยหยุดนิ่ง และหากินกับความสำเร็จเดิม ๆ
       
       สุขภาพของ รีด เริ่มย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ในระยะหลัง และถึงกับมีอาการตับวาย จนต้องเข้าผ่าตัด อันเป็นผลจากการใช้ยาเสพติด และแอลกอฮอล์อย่างหนักอยู่หลาย อย่างที่เขาเคยเขียนถึงการใช้ยาในเพลงดังของตัวเองที่ชื่อว่า Heroin ซึ่งมีท่อนหนึ่งว่า “เฮโรอิน คือความตายของข้า/เฮโรอิน คือเมีย และคือชีวิตของข้าด้วย”
       
       


http://www.manager.co.th

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X