ความลงตัวของสามีขี้บ่น กับ ภรรยาขี้หงุดหงิด
2012-11-15 15:40:47
Advertisement
คลิก!!!
วินัย ไกรบุตร เอ๋ ชลรดา

ความลงตัวของสามีขี้บ่น กับ ภรรยาขี้หงุดหงิด (ภาพยนตร์บันเทิง)
เรื่อง : เสาวรส

          พอแต่งงานมีครอบครัว "เมฆ" วินัย ไกรบุตร ก็ห่างหายจากงานแสดงไปพักใหญ่ สงสัยคงจะสาละวนกับการทำหน้าที่สามีที่ดีของภรรยา "เอ๋" ชลรดา ยิ่งตอนนี้พอมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวน "น้องมาร์ค" มาวิน ไกรบุตร วัย 5 เดือนกว่ากำลังน่ารักน่าชัง ยิ่งทำให้เมฆทุ่มเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้นในบทบาทของคุณพ่อมือใหม่ วันนี้เราจะมาอัพเดทถึงเรื่องราวชีวิตครอบครัวของเขา

หลังแต่งงานเมฆและเอ๋ก็ตัดสินใจมีลูกทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวในการใช้ชีวิตความเป็นครอบครัว

          เมฆ : เราแต่งงานกันเดือนมีนาคมปีที่แล้ว พอแต่งได้ 3 เดือนก็มีลูกเลย เพราะถ้าผมคิดจะแต่งงานแสดงว่าผมพร้อมและอยากมีลูก คือก่อนหน้าที่เราจะแต่งงานก็คบหาเรียนรู้กันมา 2 ปี จนคิดว่าถูกใจใช่เลย คุยกันรู้เรื่องชัดเจน และอยู่กันด้วยความรักความสบายใจ ไม่ได้เอาเงินเป็นที่ตั้งหรือคิดกันเรื่องอื่น แต่เราอยู่กันด้วยความรักและความเข้าใจจริง ๆ โดยที่เราไม่ต้องปรับตัวในการเรียนรู้การใช้ชีวิตครอบครัว เพราะเขาเข้าใจผมตั้งแต่ตอนที่คบกัน แต่ผมรอพิสูจน์ว่าเขาจะทำได้อย่างที่พูดไหม เพราะผู้หญิงแรก ๆ ก็จะดีไปหมดอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พออยู่กันไปแล้วมันมีปัญหาเพราะมันทำไม่ได้อย่างที่พูด แต่นี่ไม่มีเลย วันแรกที่คบกันจนถึงวันนี้เขาทำได้อย่างที่พูด

          เอ๋ : เราไม่ได้ปรับอะไรเลย คือเอ๋เป็นตัวของตัวเองเยอะมาก พูดง่าย ๆ เราเอาความเป็นตัวเองมาคุยกันมันก็เลยไม่มีปัญหา

          เมฆ : แล้วเราก็ไม่ต้องแอบอะไรเพราะตอนแรกที่เอ๋มาบ้านผม ก็มีทุกอย่าง เรียกว่าถ้าผู้หญิงมาแล้วเห็นต้องทะเลาะกันแน่นอน มีรูป มีภาพถ่าย มีเสื้อ มีของผู้หญิงอะไรเต็มไปหมด ผมไม่ได้เอาไปซ่อนเลย เพราะถือว่าถ้าจะคบก็คบไม่คบก็ไม่คบ ไม่จำเป็นต้องแอบอะไร

          เอ๋ : เอ๋เชื่อใจ ซึ่งความเชื่อใจสำคัญมากสำหรับชีวิตคู่ เหมือนกับเรารู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้ เขาเป็นคนอัธยาศัยดีมนุษยสัมพันธ์ดีมันก็เลยเป็นเรื่องปกติที่ก่อนแต่งงาน เขาจะมีผู้หญิง แต่หลังจากแต่งงานแล้วเขาไม่มี เราก็เลยไม่คิดระแวงมานั่งดูโทรศัพท์มือถือ ไม่คิดจะไปตรวจสอบนั่นนี่ คือใช้ชีวิตให้มีความสุข ซึ่งตอนที่คบกันแรก ๆ เอ๋ก็ไม่เป็นนะ เอ๋เป็นคนไม่ยุ่งเรื่องแบบนี้ ไม่วุ่นวาย ไม่ก้าวก่าย ไม่หึงหวง แต่ก็มีบอกเขาว่าเอ๋ขี้หึงนะ แต่เราจะเป็นคนมีเหตุผล ถ้าเขาพูดให้ฟังว่าคือเพื่อนนั่นก็คือจบ เหมือนกับเรารู้ว่าเขาหยุดได้แล้ว เขาพร้อมจะใช้ชีวิตกับเราแล้ว เพราะเขาบอกเราทุกเรื่องจริง ๆ ก่อนหน้านี้จะมีใครกี่คนเขาบอกหมดแล้วไง ดังนั้นเราไม่ต้องไปกลัวอะไร ก็ไว้ใจ

คิดว่าตัวเองโชคดีที่ภรรยาไม่มีนิสัยจู้จี้จุกจิกคอยตามคอยเช็ก

          เมฆ : โชคดีมากและสบายใจ พอกลับบ้านแล้วไม่คิดว่าบ้านเป็นนรก แต่เราอยากกลับบ้านเพราะมีเมียมีลูกรออยู่ แล้วเราอบอุ่น รู้สึกกลับบ้านแล้วมีความสุข แล้วผมไม่เคยมีแฟนแบบเป็นตัวเป็นตน มีแต่จีบ ๆ มีแต่เป็นกิ๊ก ๆ แต่คบจริง ๆ เป็นแฟนเพิ่งมีเอ๋คนแรก ผมไม่เคยใช้คำว่าแฟนกับใครง่าย ๆ ก็มีเอ๋นี่แหละที่ผมบอกได้ว่าเป็นแฟน เพราะคนที่เป็นแฟนนี่มันต้องมีจิตที่ผูกพันและความรู้สึกเข้ากันได้จริง และไม่แอบไม่ปิดบังอะไรกันเลย แล้วเขาเป็นคนใจเด็ดผมชอบ ผมไม่ชอบผู้หญิงง้องแง้ง ถ้าเลิกคือเลิกเลย จะมาง้อผมมาก ๆ ผมไม่ชอบ

          เอ๋ : แรก ๆ ก่อนจะตัดสินใจเป็นแฟนกัน เอ๋เป็นคนเริ่มต้นบอกว่าถ้าจะคบแล้วเข้ากันไม่ได้ ห้ามตามห้ามตื้อ ห้ามมาตอแยมายุ่งมาหวงก้าง พี่เมฆก็งง จริง ๆ ต้องเป็นเขาพูดไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นเอ๋พูด เอ๋บอกว่าถ้าเข้ากันไม่ได้ก็บอกเลยจะได้จบ ไม่ต้องมาแบบกิ๊กกันไว้ เสียเวลา เพราะอายุมากแล้วทั้งคู่

          เมฆ : เขาใจเด็ดมาก ถ้าเขาเอาจริงขึ้นมาเมื่อไหร่เดือดร้อน น่ากลัว แต่ไม่มีอะไรหรอก แต่อย่าให้เขาตัดสินใจ อย่าทำให้เขามีปัญหา เพราะเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมายื้อผู้ชาย เขาเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองที่จะอยู่รอดได้ แต่ผมก็ไม่ได้มีใครตั้งแต่คบเขามา เพราะเขาไม่ได้ทำผิดอะไร

หลายคนมักชอบพูดเสมอคนเราตอนเป็นแฟนก็อย่างหนึ่ง แต่พอเป็นสามีภรรยาก็จะอีกอย่าง

          เอ๋ : มีคนบอกเยอะตอนเป็นแฟนจะเป็นแบบนี้ พอเป็นชีวิตคู่จะเป็นอีกอย่าง ทุกคนจะพูดหมดเลยว่าเชื่อเถอะเอ๋ไม่เกินปีหนึ่งแกทะเลาะกันแน่นอน แกอย่างนู้นอย่างนี้แน่นอน แต่เอ๋บอกว่าไม่ เพราะก่อนแต่งหรือหลังแต่งเอ๋ประพฤติตัวเหมือนเดิม พี่เมฆก็คงประพฤติตัวเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นไม่น่าจะมีปัญหากัน แล้วมันก็จริง ๆ หลังแต่งงานคนที่มีปัญหาครอบครัวส่วนใหญ่คืออย่างที่พี่เมฆบอก ตอนเป็นแฟนพูดอย่าง แต่พอแต่งงานทำไม่ได้ แต่เรา 2 คนเอาตัวตนของเราทั้งคู่มาคุยกัน พอหลังแต่งเราไม่เคยมีปัญหากันเลย ไม่เคยทะเลาะกัน อย่างมากมีง้องแง้งกันเรื่องเขาไปตีแบดดึกแล้วเราเป็นห่วงกลัวว่าจะเป็นอะไร จะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า เพราะบางครั้งเขาตีแบดดึกเกินไปโดยไม่ได้โทร.บอก จนเรากังวล แต่พอเรารู้ว่าเขาไปตีแบดก็จบ

          เมฆ : คู่เราไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทะเลาะกันเลย ไม่มีเลยจริง ๆ นะ เพราะ 2 ปีที่เราเรียนรู้กันมา เรารู้ว่าเขาไม่ดีตรงไหน จุดบอดของเขาตรงไหน เรายอมรับหมดแล้ว เพราะฉะนั้นพอเห็นก็คง เออ...สิ่งที่เคยทำ 2 ปีก็ยังเป็นอย่างนี้

          เอ๋ : ถึงเขาจะทำงานกลับบ้านดึกเกือบทุกวัน เราก็ไม่เคยไปนั่งชี้ว่า เช้าไปไหนมาทำไมกลับดึก เราไม่ทำ เพราะเราเคยเป็นผู้หญิงทำงาน ก่อนหน้าจะมีลูกเราเคยทำงานหนักมาก่อน เลยรู้ว่าเหนื่อยแล้วถ้ามีคนมาจู้จี้จุกจิกเราจะอารมณ์เสียเดี๋ยวจะมีปัญหา เอาใจเขามาใส่ใจเราในการใช้ชีวิตคู่มากกว่า ก็จะทำให้ชีวิตคู่ดำเนินไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีปัญหา แล้วเรารู้หน้าที่ของเรา คือพอเราหยุดทำงานเพื่อมาเลี้ยงลูก เรารู้เลยว่าอะไรที่ไม่ควรไปเพิ่มภาระและความรู้สึกให้กับเขา เราก็จะไม่ทำ เหมือนกับเราต้องรู้ตัวเองว่าหน้าที่เราคืออะไร บางทีเราเห็นสภาพเขากลับจากทำงานมาแล้วเหนื่อยมาก ๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตายอย่าเอาไปใส่เขามาก เพราะถ้าเป็นเราก็คงไม่ชอบ แล้วความที่เป็นเลือดร้อนของวัยรุ่นสมัยก่อนแต่งงาน เราก็พยายาม คือมันไม่ได้เรียกว่าเปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่มันเป็นเซนส์ที่เราต้องปรับและนำมาใช้ในชีวิตจริง มันไม่ได้ทำให้เราฝืนอะไรมากมาย แต่ทำให้เรามีความสุขกว่าเดิม เหมือนกับเราเข้าใจเขา ส่วนเขาก็เข้าใจเรา มันก็จะมีความรักในครอบครัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

ถึงเมฆจะทำงานนอกบ้าน แต่ก็ไม่เคยบกพร่องหน้าที่ความเป็นพ่อ

          เมฆ : บางทีผมทำงานกลับมาตี 1 ตี 2 เห็นเขาปั๊มนมให้ลูก เราเห็นว่าเขาก็ไม่ได้ละเลยหน้าที่ของเขา บางที 6 โมงเช้าหรือ 8 โมง ถ้าลูกตื่นผมพาลูกออกจากบ้านให้เขาได้นอนหลับสัก 3-4 ชั่วโมง เหมือนเราช่วยเหลือกัน ผมช่วยเลี้ยงลูกทุกอย่าง ทำหมดทั้งป้อนข้าว ล้างอึ เช็ดฉี่ ยกเว้นให้นมเพราะผมไม่มีนม เพราะลูกเป็นชีวิตของเรา คือคำว่าลูกไม่ได้แค่ชื่อ แต่เราต้องทำได้ทุกอย่างในความเป็นพ่อ มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ ต่อให้เราทำงานนอกบ้านเหนื่อยแล้ว แต่เราก็ต้องทำ จะมาบอกหรือเอาเป็นข้ออ้างว่าฉันทำงานหาเงินแล้วไม่ต้องเลี้ยงลูกมันไม่ใช่ ซึ่งอันนี้เป็นความคิดส่วนบุคคลแล้วแต่คอนเซ็ปต์ของแต่ละครอบครัว สำหรับลูกผมทำได้ทุกอย่าง แม่เขาไม่อยู่ผมก็เลี้ยงได้ มันไม่ได้ยากอะไรแค่เลี้ยงเด็ก เราตกลงปลงใจจะมีเขาแล้ว ฉะนั้นคำว่าเหนื่อยหรือลำบากไม่ต้องพูด ผ่านมันไปได้เลย ถูกไหม ถ้ามานั่งคิดว่ามีลูกแล้วลำบากไม่ต้องทำอะไร มันไม่ใช่



วินัย ไกรบุตร เอ๋ ชลรดา

เห็นว่าทางบ้านเอ๋และบ้านเมฆเห่อหลานน่าดู

          เอ๋ : ตอนแรกเลยพี่เมฆอยากได้ลูกสาว ส่วนเอ๋ยังไงก็ได้ แต่พอรู้เป็นผู้ชายก็ดีใจ เพราะบ้านเอ๋คนจีนไงคะ แต่บ้านพี่เมฆเป็นคนได้แต่เห่อหลานมากกว่า แม่พี่เมฆถึงกับบอกเลยว่าถ้าเป็นผู้ชายขึ้นมาดู แต่ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่ขึ้นมา ฟังแล้วเราก็งง ๆ นะ

          เมฆ : ยิ่งน้องสาวของผม 2 คนมาหาหลาน ผมกับเอ๋แทบไม่ได้จับลูกเลย ได้แต่มองหน้ากันปริบ ๆ เพราะเขาเห่อหลานมาก แถมบางครั้งผมยังโดนน้องด่าด้วยว่าเราทำให้ลูกร้อง คือเขาหวังดีจะให้หลานกินนม แต่เราบอกอย่าเพิ่งให้เพราะยังไม่หิวเลยนะ แต่เขาบอกทำไมต้องรอให้หิวรอให้ร้องก่อนค่อยให้ล่ะ เป็นงั้นไป

คุณพ่อคุณแม่ก็เห่อลูกไม่น้อยเหมือนกัน เพราะเตรียมการและวางรากฐานให้ลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง

          เมฆ : ผมจะเตรียมเรื่องที่ดิน วางแผนเรื่องทรัพย์สมบัติให้เขา เรื่องสวนปาล์มที่กระบี่ประมาณ 30 ไร่ อย่างน้อยเป็นทุนให้เขา เพราะอีก 10 ปีที่ดินก็มีราคาเพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้ผลประโยชน์ผมยกให้แม่ แต่อีกหน่อยแม่ก็คงให้หลาน นอกจากนี้ก็มีเงินฝากเป็นบัญชีชื่อผมกับเอ๋ ก็ฝากประจำไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ถอนก็ให้เป็นของลูกเลย

          เอ๋ : เอ๋จะวางรากฐานเรื่องการเรียนการศึกษาตั้งแต่เขายังอยู่ในท้อง เพราะระยะเวลาเดือนสองเดือนไม่ทัน สมัยนี้ต้องคิดเยอะคิดให้หนัก เราอยากจะให้เขาเรียนอะไรยังไง เวลาเราหาที่เรียนดี ๆ ก็ได้มาคุยกัน ทุกอย่างไม่ได้ตัดสินใจแค่คนใดคนหนึ่ง แต่เรามาคุยกันอยากให้ลูกเรียนยังไง เรียนแบบไหน เราต้องคิดเยอะมาก ถ้าอยากให้ลูกเรียนอินเตอร์ ภาษาอังกฤษได้ แต่ภาษาไทยไม่ได้เลยก็ไม่ได้ ถ้าเรียนภาษาไทยดี แต่ภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ไม่เอา ดูไปดูมาเราต้องแบบเก็บข้อมูลไว้ก่อน แล้วพยายามดูข้อมูลไหนดีสุด เพราะเราฟังมาเยอะหลายครอบครัวว่าที่ไหนดีสุด และหลายครอบครัวที่มีปัญหาเรื่องการศึกษา เหมือนเราได้หาเต็มที่ให้ลูก แต่ให้เขาเรียนที่ไหนก็ได้ใกล้บ้านมันก็จะมีผลเสียตามมา เราไม่ได้คิดว่าลูกต้องเพอร์เฟกต์ แต่เราต้องทำให้ดีที่สุด เพราะคิดว่าการศึกษามันสำคัญมาก ถ้ามีการศึกษาจะมีความคิด พอมีความคิดจะพัฒนาการไปเรื่อย ๆ เหมือนเปรียบเทียบกับตัวเราที่อยู่กับคนหลาย ๆ กลุ่ม เราจะรู้คนที่ไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาดี เขาจะมีความคิดอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคนที่มีการศึกษาที่ดี สภาพแวดล้อมดี ครอบครัวดี ก็จะทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องเก่งเลิศ แต่ให้เขาเรียนโรงเรียนดีก็จะมีสภาพแวดล้อมที่ดี ทำให้เขาเป็นคนดี เขาก็จะดำเนินชีวิตในสังคมได้ เราอยากให้เขาเป็นเหมือนเราในด้านความคิด คือเรียนอะไรก็ได้ที่เรียนออกมาแล้วทำให้ดำเนินชีวิตได้จริง ๆ

น้องมาร์คนี่เรียกได้ว่าเป็นสปอร์ตแมนตั้งแต่เด็กเลย

          เมฆ : สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ลูกเหมือนผม คือเล่นกีฬาเป็นทุกอย่าง ตีกอล์ฟ ตีแบด ว่ายน้ำ ฟิตเนส เอาให้หมด ให้เขาดูแลรักษาตัวเอง คนเราถ้ารับผิดชอบดูแลตัวเองก็อยู่ได้เรื่อย ๆ ตายยาก แล้วคนเราถ้าเล่นกีฬา มีกิจกรรมทำ มีสังคม ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น เพราะเขาดูแลตัวเอง รักตัวเอง คนรักตัวเองก็จะทำให้เขารักคนอื่นไปด้วยและอยู่ในสังคมที่ดี ผมก็พาลูกไปหมดนะ ไปฟิตเนส ไปสนามแบด สนามบอล ไปแล้วเขาชอบดูคนตีแบดนั่งดูได้ 2-3 ชั่วโมงโดยไม่โวยวาย แต่ถ้าไปเที่ยวห้างฯ จะโวยวาย แต่ไปกลางแดดร้อน ๆ ไม่โวยวาย เขาชอบเที่ยวแต่เด็ก ชอบเจอผู้คน เคยเอาไปว่ายน้ำในสระด้วยเขาชอบมาก

          เอ๋ : พี่เมฆจับลูกดำน้ำตั้งแต่ 2 เดือน จนเอ๋ตกใจ แต่เขาบอกว่าเหมือนเขาโตมาต่างจังหวัดไม่เห็นเป็นอะไรเลย และถ้าไปชายทะเล น้องมาร์คจะหลับเพลินเลยและชอบชมวิว ชอบธรรมชาติ ชอบดูต้นไม้ เวลาใบไม้ไหว ๆ จะมองตามเฉยนิ่งเงียบ เอ๋เคยพาไปบ้านแม่เอ๋ แล้วแม่เอ๋พาเดินดูต้นไม้เขาจะยิ้มหัวเราะคิกคักกับต้นไม้

เห็นว่ามีโครงการจะมีลูกคนที่ 2

          เอ๋ : ก็คิดอยู่ค่ะ แต่คงรอให้น้องมาร์คโตกว่านี้ก่อนสัก 2 ปี น่าจะมี ตอนนี้ยังไม่ไหวเพราะมันหนัก

          เมฆ : ผมอยากมีลูกสัก 2 คน คิดว่ากำลังพอดี แต่ถ้า 3 คงไม่ได้ไม่ไหว คนที่ 2 ผมอยากได้ลูกสาวเพราะฉอเลาะดี

นิยามความหมายของคำว่าชีวิตคู่สำหรับเมฆและเอ๋คิดว่าต้องเป็นยังไง

          เอ๋ : มีความเข้าใจอย่างเดียวเลย อยู่กันด้วยความเข้าใจและเชื่อใจแล้วจะมีความสุข ถ้าเชื่อใจก็จะไม่ระแวง ไม่ตาม ไม่จุกจิก ไม่จู้จี้ ถ้าเข้าใจว่าเขาเป็นยังไง เราก็จะไม่ทำให้มีปัญหา แล้วเวลาเขาทำอะไรก็จะไม่หลบซ่อนเรา แต่ไม่ใช่แค่เข้าใจเฉย ๆ แต่เข้าใจและต้องปฏิบัติได้ด้วยนะ

          เมฆ : มันคงเป็นความรู้เขารู้เรามากกว่า เขาเป็นยังไงเราเป็นยังไง เรารับเขาได้ก็ไม่มีปัญหา อย่างมีบางเรื่องซึ่งเขาก็ไม่ได้ดีทุกเรื่องเรื่องความสะอาดพูดได้เลยผม เนี้ยบมาก แต่เขา 2 ปีที่ผ่านมาก็เหมือนเดิม แต่จะไปอะไรมากไม่ได้ก็เมียเรา ซึ่งน้องสาวผมก็เป็นอย่างนั้นเหมือนเมียเลย อาบน้ำทีเส้นผมร่วงตามพื้นห้องน้ำ ผมก็ต้องมานั่งเก็บคนเดียว จนผมด่าเป็นแพ็กเลย ผู้หญิงอะไรเนี่ย

          เอ๋ : ถ้าพี่เมฆพูดกับเอ๋มาก ๆ เรื่องนี้เอ๋ก็จะมีวิธีการของเอ๋ โดยเอ๋จะปล่อยเลย ไม่ทำ เหมือนยิ่งพูดยิ่งไม่ทำ แต่ถ้าหยุดพูดเอ๋ทำเลย แต่เราไม่ทะเลาะด้วยนะ ไม่ได้ทำหน้าบึ้ง แต่จะบอกพี่เมฆพูดไปนะเอ๋จะไม่ทำ แต่ถ้าพี่เมฆหยุดพูดเมื่อไหร่เอ๋ทำ เขาหยุดพูดทันทีเราก็ทำ คือเอ๋ไม่ใช่คนเรียบร้อย ไม่ใช่คนเนี้ยบ ไม่ได้แม่บ้านจ๋า แต่พี่เมฆเป็นคนเนี้ยบมาก กินข้าวเสร็จต้องเก็บโต๊ะทันทีเลย เหมือนเวลาไปกินร้านอาหารถ้าโต๊ะเลอะเขาเปลี่ยนที่นั่งเลย จนเรารู้สึกทำไมเขาเยอะจัง แรก ๆ เรากลัว ถ้าแต่งไปแล้วเราไม่ใช่คนเนี้ยบจะมีปัญหาไหม แต่เราคุยกันไง เราบอกเขาว่าเราไม่ใช่คนเนี้ยบขนาดเขานะ และถ้าเขาบ่นเยอะเราก็จะไม่ทำ ยิ่งบ่นเรายิ่งไม่ทำ เขาก็ทำเอง

          เมฆ : ก็มันเป็นทั้งเมียและน้องเลยเราก็ทำเอง กินข้าวเสร็จแทนที่จะเอาขยะออกแล้วก็เอาชามช้อนเอาไปแช่น้ำให้เรียบร้อย แม่บ้านมาจะได้ล้างง่าย แต่นี่เหมือนกันทั้งเมียและน้อง พอกินเสร็จก็วางโครม ๆ ๆ ซะอย่างนั้น

ไม่ได้เป็นผู้ชายจอมเนี้ยบอย่างเดียว แต่ยังขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายรักความสะอาดมาก

          เมฆ : เห็นน้ำพลาสติกที่เราซื้อมากินเป็นขวด ๆ ใช่ไหม ซื้อมาแล้วเราไม่ได้เอาไปเก็บเลยนะ แต่ต้องเอามาล้างน้ำก่อนจะเอาไปเก็บเพื่อไม่ให้มีฝุ่น

          เอ๋ : ถ้าเอ๋ออกนอกบ้านไปไหนก็ตาม แล้วกลับเข้าบ้านห้ามขึ้นเตียงนอนเลย ต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เพราะฝุ่นจะเข้ามาด้วย เอ๋บอกแล้วไงเขาเป็นผู้ชายรักสะอาดและอนามัยมาก เขาเป็นแบบนี้จริง ๆ ตั้งแต่ตอนที่อยู่กับพี่หนุ่ม คงกะพัน พี่เมฆสะอาดจนโดนพี่หนุ่มแกล้ง แรก ๆ เราก็งง แต่พอทำปุ๊บก็เหมือนกิจวัตร เพราะเขามีเหตุผลว่าฝุ่นไม่ได้แค่เราแต่ลูกด้วยนะ

          เมฆ : ไมได้หรอกออกไปข้างนอกเจออะไรมาก็ไม่รู้ ก็ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน

          เอ๋ : เป็นคนสบาย ๆ ไม่เยอะ แต่พี่เมฆเยอะสิ่งจริง ๆ เวลาไปบ้านพ่อแม่เอ๋เขากลัวเลย เพราะที่บ้านทำธุรกิจรับซื้อของเก่ารีไซเคิลซึ่งของมันก็ต้องเยอะจนดูเหมือน รก พอพี่เมฆเข้าบ้านจะพูดเยอะไง บ่นทำไมของเยอะอย่างโน้นอย่างนี้ จนพ่อเอ๋เลยบอกเมฆอย่าพูดเยอะ เพราะนี่ร้านรับซื้อของเก่าไม่ใช่ร้านจิวเวลรีจะได้เนี้ยบ บางทีเขาก็ไปขัดหน้าบ้านทำความสะอาดให้ จนพ่อบอกร้านขายของเก่านะ เวลาพี่เมฆไปบ้านจะล้างหน้าบ้านทุกวัน แรก ๆ พ่อก็งง แต่หลัง ๆ ปล่อย อยากทำอะไรทำเลย หรือพอเขาขึ้นรถมีฝุ่นเยอะเขาบอกให้เอ๋ไปล้างรถเลย เขาไม่ได้แพ้ฝุ่นแต่ไม่ชอบให้มีฝุ่น



วินัย ไกรบุตร เอ๋ ชลรดา


ความจู้จี้ขี้บ่นของเมฆเรื่องความสะอาดเคยทำให้ถึงขั้นทะเลาะกันบ้างไหม

          เอ๋ : เขาเป็นคนขี้บ่นมากเรื่องนี้ ขอให้บ่นนิดนึง แต่บ่นไปเอ๋ก็เฉย บ่นไปเอ๋ก็ยิ้ม เพราะเรารู้เขาเป็นแบบไหน และเขาไม่ได้คิดอะไร ขอให้ได้พูด เราก็แบบอยากพูดอะไรพูดไปเลย พอบ้านรกเขาก็บ่นแล้ว จนเราบอกพี่เมฆเลิกบ่นวันนึงได้ไหม เขาบอกก็ทำดี ๆ สิ พี่จะได้เลิกบ่น คือเขาขอเถียงนะนิดนึง แต่เขารู้สิมิตของเอ๋นะ เหมือนต่างคนต่างรู้กันว่าเราพูดกันได้ เราระบายออกมาแล้ว แต่เราไม่ได้หมกมุ่น เวลาเอ๋หงุดหงิดจะบอกเขาเลยว่าเอ๋หงุดหงิดแล้วนะเขาก็จะเงียบ เราเป็นคนพูดตรง ๆ ถึงไม่ทะเลาะกัน

คิดว่าชีวิตลงตัวและเพอร์เฟกต์ไหม กับการเป็นครอบครัว

          เมฆ : ก็โอเค. แต่จริง ๆ ไม่มีอะไรพร้อมไปทุกอย่างหรอก บางช่วงพร้อมบ้างไม่พร้อมบ้าง คือถ้ารอให้พร้อมมันไม่พร้อมหรอกเพราะไม่มีอะไรแน่นอน คุณจะรู้ได้ไงว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่วันนี้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท แล้วใครบอกมีลูกมีเมียที่ดีนั่นคือเพอร์เฟกต์ ไม่หรอก ความเพอร์เฟกต์ไม่มีหรอก เพราะทุกอย่างในโลกนี้สามารถเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อาจจะไม่ได้มาจากเรา แต่มาจากคนอื่น เพราะฉะนั้นทำให้ดีที่สุด ทำทุกวันที่เราอยู่ให้มีความสุข บางช่วงแม้จะเหนื่อยหน่อยสุขหน่อย แต่ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ มนุษย์จะให้สุขทุกวันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องมีทุกข์บ้างปนกันไป เราก็ต้องผ่านไปให้ได้

          เอ๋ : อย่างที่พี่เมฆบอก เราใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง และต้องพยายามทำทุกวันให้มีความสุข และไม่มีครอบครัวไหนหรอกที่จะเพอร์เฟกต์ไปหมด มันต้องมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแต่เราจะอยู่ยังไงให้มีความสุขมากที่สุด

 

 

 

ข้อมูลจากกระปุกดอทคอม

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X