เคยสงสัยมั้ย ทำไมกินแล้วยังไม่อิ่ม กินทั้งวัน กินเยอะได้อีก หิวตลอดเวลา เป็นเพราะอะไรกันนะ ถ้าอยากรู้ไปอ่านพร้อมๆ กัน...

เป็นประจำอีกเช่นเคยที่ "ไทยรัฐออนไลน์" นำความรู้จากผู้เชี่ยวชาญมาเอาใจคนรักสุขภาพกับ "นนท์ อัลภาชน์" หรือมิกกี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา ปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท ของสหรัฐฯ สาขาฟิตเนส แอนด์ นิวทรีชั่น และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย ECU Edith Cowan University สาขา Strength and Conditioning จากประเทศออสเตรเลีย จะมาบอกว่า อะไรบ้างที่มีผลต่อฮอร์โมนความหิวของเรา?

อะไรบ้างมีผลต่อฮอร์โมนความหิว!!

1. การนอน

• ผลวิจัยบอกไว้ว่าถ้าเทียบระหว่างคนที่นอน 8 ชม. กับ 5 ชม. คนที่นอนแค่ 5 ชม. ต่อคืนฮอร์โมน Leptin (ฮอร์โมนความอิ่ม) จะลดลง และฮอร์โมน Ghrelin (ฮอร์โมนความหิว) จะมีเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ไม่ค่อยอิ่ม ก็เลยยิ่งทำให้เราทานมากขึ้น

• วิจัยอันเดียวกันนี้ยังบอกต่อว่า หลังจากนอนน้อยไปสองคืน จะทำให้เราอยากทานอาหารที่มีพวกคาร์โบไฮเดรตเยอะขึ้นอีก

• หลักจาก 6 วัน ของการนอนน้อย ร่างกายเราจะลดความสามารถในการดึงน้ำตาลมาใช้หรือเก็บ (insulin resistance)

• การนอนน้อยๆ ทำให้ระบบเผาผลาญพื้นฐาน หรือ Basal metabolism rate ของเราช้าลงอีกด้วย เขาถึงบอกกัน นอนน้อยทำให้อ้วน

2. ความเครียด

• เวลาเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) มากขึ้น และยังทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็น leptin resistance (คือเราจะไม่ค่อยรู้สึกอิ่ม) ได้อีก จึงสามารถมาเพิ่มไขมัน หรือน้ำหนักตัวในร่างกายเราได้

• เวลาเครียด เรายังหลั่งฮอร์โมน Neuropetide เพิ่มขึ้นด้วย และทำให้รู้สึกอิ่มช้า

• เอาง่ายๆ คือ ความเครียด จะทำให้รู้สึกหิว ไม่อิ่ม และอิ่มช้า ทานเยอะ และอ้วน

3. การทานอาหาร หรือไดเอท

• เวลาเราไดเอทหรือคุมอาหาร ทานในปริมาณที่น้อยกว่าเผาผลาญเพื่อลดไขมัน ฮอร์โมนความอิ่ม จะลดลง และฮอร์โมนความหิว จะเพิ่มขึ้น เวลาไดเอท = หิว! เป็นเรื่องปกติ เพราะฮอร์โมนพวกนี้เลย

• แต่จุดต่างมันอยู่ที่ว่า เราจะทานอะไรเวลาไดเอท และให้รู้สึกอิ่มมากสุด นั้นก็คือทานอาหารที่มีแคลอรี่น้อยๆ เพราะ ทนได้เยอะ

• หรือใครสามารถควบคุมตัวเองดีกว่ากันเวลาไดเอท เช่น ถ้าอดอาหารไปเลย หรือลดฮวบเดียวเยอะๆ เลย ฮอร์โมนพวกนี้ก็จะทำให้เรายิ่งหิว = ยิ่งกินมากกว่าเดิม = กลับมาอ้วนเหมือนเดิม หรือ อาจมากกว่าเดิม ดังนั้นเราจึงไม่ควรรีบลด หรืออดอาหาร

ข้อมูล : fit.athletics

ขอขอบคุณที่มา  ไทยรัฐออนไลน์