แหล่งข่าวในครอบครัว ‘บ็อบบี้ คริสติน่า บราวน์’ เผย อาการลูกสาวของวิตนีย์ ฮุสตัน โคม่าเกินเยียวยา ครอบครัวกำลังตัดสินใจจะให้แพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว ขณะที่ ผู้เป็นยาย เสนอวันที่ 11 ก.พ.นี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เพราะเป็นวันเดียวกับนักร้องสาวคนดังเสียชีวิต

สื่อต่างประเทศรายงานความคืบหน้าอาการของ น.ส. บ็อบบี้ คริสติน่า บราวน์ บุตรสาวคนเดียวของวิตนีย์ ฮุสตัน อดีตนักร้องชื่อดังชาวอเมริกัน ที่ขณะนี้อาการโคม่า อยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย อีมอรีย์ หลังประสบเหตุจมน้ำในอ่างอาบน้ำ ที่บ้านพัก ย่านชานเมืองแอตแลนตา ประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อ 31 ม.ค.ว่า จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวในครอบครัวของ น.ส.บ็อบบี้ คริสติน่า บราวน์ ระบุว่า กำลังมีการตัดสินใจที่จะให้แพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ในวันเดียวกับที่วิตนีย์ ฮุสตัน เสียชีวิต คือวันที่ 11 ก.พ. นี้ (ตามเวลาท้องถิ่น)

‘เป็นวิธีที่จะทำให้แม่และลูกสาวอยู่ด้วยกันไปชั่วนิรันดร์’ แหล่งข่าวในครอบครัวของ น.ส.บราวน์ เผย พร้อมกับบอกว่า เรื่องนี้ นางคิสซี่ ฮุสตัน ผู้เป็นแม่ของวิตนีย์ และยายของบราวน์ เป็นคนเสนอให้มีการถอดเครื่องช่วยหายใจออกในวันเดียวกับที่วิตนีย์ ฮุสตัน เสียชีวิต ในวันที่ 11 ก.พ. โดยนางคิสซี่ อุสตัน รู้สึกเศร้าโศกเสียใจอย่างมาก ที่ทั้งลูกสาวและหลานสาวต้องจากไปก่อนตนเอง เนื่องจากวิตนีย์ ฮุสตัน ได้เสียชีวิตเนื่องจากจมน้ำในอ่างอาบน้ำเช่นกัน เมื่อ 3 ปีก่อน คือ วันที่ 11 ก.พ.2555

คิสซี่ ฮุสตัน ผู้เป็นแม่ของวิตนีย์ ฮุสตัน ขณะมาเยี่ยมอาการหลานรัก

สำหรับอาการของ น.ส.บราวน์ นักร้องสาววัย 21 ปี ในขณะนี้ยังคงอยู่ในขั้นวิกฤติ นับตั้งแต่เธอถูกพบในสภาพใบหน้าคว่ำจมอ่างอาบน้ำจนหมดสติในบ้านพัก โดยทีมแพทย์ที่รักษา น.ส.บราวน์ บอกว่า ขอให้ทางครอบครัวเตรียมตัวเตรียมใจรับกับเรื่องเลวร้ายที่สุด

ขณะเดียวกัน ตามรายงานข่าวจากสื่อหลายสำนักในสหรัฐฯ ระบุว่า นายนิค กอร์ดอน แฟนหนุ่มของบราวน์ วัย 25 ปี ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวมาสอบปากคำ เพื่อสอบถามว่าเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับร่องรอยบาดแผลที่ใบหน้าของ น.ส.บราวน์ ในวันที่เธอประสบเหตุจมน้ำหรือไม่ โดยทางทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนได้เริ่มดำเนินการสอบสวนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง น.ส.บราวน์ กับนิค กอร์ดอน แฟนหนุ่ม หลังจากทางครอบครัวของบราวน์มีความไม่สบายใจเกี่ยวกับบาดแผลบนใบหน้าของบราวน์ในวันเกิดเหตุ

วิตนีย์ ฮุสตัน และบ็อบบี้ คริสติน่า บราวน์

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์