"The Wolverine" หยุดเลือดวิกฤติฮอลลีวูด: 2013 เฮี้ยนหนังเจ๊งระนาว
2013-07-29 14:08:32
Advertisement
คลิก!!!

เอเอฟพี - แม้จะไม่ได้ทำรายได้สูงเหมือนหนังภาคแก่อน แต่รายได้สัปดาห์แรกมากกว่า 55 ล้านเหรียญฯ ของ The Wolverine ภาคล่าสุดของหนังชุด X Men ก็ทำให้ฮอลลีวูดได้ลืมตาอ้าปากบ้าง หลังในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีหนังฟอร์มใหญ่ล้มเหลวติดต่อกันหลายเรื่อง
       
       หนังที่นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน ทำเงินไปได้มากกว่า 55 ล้านเหรียญฯ ตั้งแต่เริ่มฉายในวันพฤหัสจนถึงตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนรายได้ในตลาดต่างประเทศก็ไปไกลถึง 86 ล้านเหรียญฯ ถึงขั้นที่ Variety เรียกว่านี่น่าจะเป็นหนังที่เปิดตัวได้สวยที่สุดเรื่องหนึ่ง ในช่วงฤดูร้อนแห่งความเลวร้ายของฮอลลีวูดปีนี้
       
       ซึ่งปกติซัมเมอร์จะเป็นฤดูกาลของหนังฟอร์มใหญ่ทุนสูง และทำเงินมหาศาล แต่สำหรับปี 2013 กลับมีหนังล้มเหลวติดต่อกันหลายเรื่อง นับจาก After Earth ที่นำแสดงโดย วิล สมิธ ซึ่งปกติเป็นชื่อดาราที่สามารถการันตีรายได้ว่าหนังจะต้องทำเงินสูงแน่ ๆ แต่หนังไซไฟที่เขาแสดงนำร่วมกับลูกชายกลับทำเงินเพียง 59 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างสูงถึง 130 ล้านฯ
       
       White House Down ที่ใช้ทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญฯ ก็ทำเงินไปได้แค่ 68 ล้านฯ ส่วน The Lone Ranger หนังคาวบอยที่นำแสดงโดย จอห์นนี เด็ปป์ และด้วยทุนสร้าง 250 ล้านเหรียญฯ ก็ทำให้หนังเรื่องนี้คืองานที่ผลาญงบไปมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ แต่กลับทำเงินไปได้แค่ 81 ล้านฯ เท่านั้น
       
       Pacific Rim เป็นอีกเรื่องที่น่าผิดหวังด้วยรายได้ถึงตอนนี้ 72 ล้านหรียญฯ จากทุนสร้าง 180 ล้านฯ แต่ที่เลวรายที่สุดก็คือ R.I.P.D. ที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลราว 180 ล้านฯ แต่กลับทำรายได้ในการฉาย 3 วันแรกเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนแค่ 15 ล้านฯ เท่านั้น
       
       คำทำนาย "สปีลเบิร์ก" ใกล้เป็นจริง? - ฮอลลีวูดนับถอยหลังสู่ความตกต่ำ
       
       และดูเหมือนว่าช่วงเวลาอันเลวร้ายของฮอลลีวูดในหน้าร้อนนี้ จะเกิดขึ้นหลัง "สตีเฟน สปีลเบิร์ก" และ "จอร์จ ลูคัส" เพิ่งจะกล่าวแสดงความเห็น ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์กำลังเข้าสู่อนาคตอันมืดมน ถึงขั้นล่มสลาย ในอนาคตอันใกล้นี้
       
       "มันจะเกิดความย่อยยับขึ้น ที่จะมีหนังล้มเหลวให้เห็น 3 - 4 เรื่อง และอาจจะถึง 6 เรื่องเลยทีเดียว กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น" สปีเบิร์ก กล่าวเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ที่เขาและ จอร์จ ลูคัส ได้ทำนายเอาไว้ว่า ฮอลลีวูดจะเปลี่ยนแปลงไป จะมีหนังล้มเหลวมากมาย วงการหนังจะเจอปัญหาจาก เทคโนโลยี, ประเด็นทุนหนังเฟ้อ, ราคาตั๋ว และนโยบายของสตูดิโอ สุดท้ายราคาค่าตั๋วก็จะพุ่งขึ้นไปอีก จนลงเอยที่จะทำให้เหลือหนังไม่กี่ประเภทในโรงภาพยนตร์ ส่วนงานที่มีเนื้อหาแปลกแตกต่างคงต้องไปหาช่องทางในการเผยแพร่ทางโทรทัศน์แทน
       
       อย่างไรก็ตามสำหรับมุมมองของ เคทธริน อาร์โนลด์ โปรดิวเซอร์ และผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจภาพยนตร์ มองว่าปัญหาไม่น่าจะเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโดยรวมเท่านั้น แต่ความล้มเหลวของหนังหลาย ๆ เรื่อง ก็มาจากคุณภาพของตัวหนังเองด้วย
       
       "สตูดิโอพยายามจะเข้าถึงตลาดโลก และบางครั้งก็เชื่อว่าพวกเขาจำเป็นต้องย่อยเรื่องให้ง่าย และยัดเยียดฉากแอ็กชั่นไปในหนัง เพื่อตลาดซึ่งคนดูไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ" อาร์โนลด์ กล่าว "แต่คนเดี๋ยวนี้ฉลาดขึ้น มีทางเลือกเยอะ และพวกเขาสามารถเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก สตูดิโอต้องเรียนรู้ ที่จะไม่เปลี่ยนเนื้อหาหนังกันง่าย ๆ แบบนี้ สำหรับหนังฟอร์มใหญ่"
       
       ความหวังยังพอมี
       
       ในซัมเมอร์ 2013 ไม่ได้มีแต่ด้านแห่งความล้มเหลว เพราะในเวลาเดียวกันก็ยังมี Fast and Furious 6, World War Z และ Iron Man 3 ที่ไปได้สวย ทำเงินได้ดีทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ เช่นเดียวกับหนังที่นำเสนออะไรแปลกใหม่ให้กับคนดูอย่างงานใหม่ของ แบรดด์ พิตต์ ที่ตอนนี้กวาดเงินเฉียด 200 ล้านแล้ว .. "เมื่อไหร่ที่สตูดิโอทำหนังฟอร์มใหญ่ที่มีเนื้อหาดีด้วยแบบ World War Z ซึ่งมีอะไรใหม่ ๆ ให้กับคนดู มีการยกระดับหนังไปอีกขั้น มันก็จะประสบความสำเร็จ" เคทธริน อาร์โนลด์ ให้ความเห็น
       
       ฝ่ายผู้เชี่ยวชาญวงการหนัง และนักวิเคราะห์บ็อกซ์ออฟฟิศอย่าง เจฟฟ บอคก์ ก็มองว่า "ถึงแม้ After Earth, Lone Ranger, White House Down, Pacific Rim และล่าสด RIPD จะล้มเหลวในการฉายที่สหรัฐฯ แต่หนังฟอร์มใหญ่ ๆ ก็สำคัญสำหรับบ็อกซ์ออฟฟิศต่อไป และไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ด้วยความสำเร็จของหนังพวกนี้ ก็คงจะทำให้ฮอลลีวูดทุ่มกับหนังภาคต่อ และพยายามสร้างอะไรแบบนี้ขึ้นมาอีก"
       
       แต่ เคทธริน อาร์โนลด์ ดูจะไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าฮอลลีวูดยังต้องพึ่งหนังภาคต่อเป็นหลักเพียงอย่างเดียว และย้ำว่าคนในวงการหนังต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น "มันจะทำให้พวกเขาหยุดคิดบ้าง เมื่อลองมองเห็นความสำเร็จของหนังอย่าง Magic Mike, Silver Linings Playbook, Identity Thief และ The Heat หนังพวกนี้ใช้ทุนสร้างต่ำกว่า 50 ล้านฯ ด้วยนักแสดงที่ดี, มีเรื่องที่ดี, สามารถสื่อสารกับคนดูได้ ทำให้เกิดกระแสปากต่อปาก และผลก็คือความสำเร็จทางธุรกิจ"
       
       ภาคต่อ / เพลย์เซฟต์ - ความจำเป็นฮอลลีวูดยุคทุนสร้างเฟ้อ
       
       ฝ่าย เจสัน บลูม โปรดิวเซอร์ที่ประสบความสำเร็จกับการสร้างหนังสยองขวัญ Paranormal Activity, Insidious และ Sinister ที่ใช้ทุนสร้างน้อย แต่กำไรมาก โดยเฉพาะหนังประเภททุนต่ำ ที่บางครั้งอาจจะทำเงินมากกว่าทุนสร้าง 10 เท่า หรือมากกว่า 20 หรือ 40 เท่าเลยทีเดียว ก็ให้มุมมองว่า ยิ่งลงทุนมากขึ้นเท่าไหร่ ฮอลลีวูดก็ต้องระวังตัวมากตามไปด้วย และโอกาสจะเห็นอะไรใหม่ ๆ ก็คงยากขึ้นเต็มที
       
       "เมื่อผมทำสำเร็จ ก็จะได้ทุนมากขึ้น และเมื่อคุณเริ่มใช้เงินมากขึ้น คุณก็ไม่อยากเสี่ยงอะไรอีกแล้ว คุณฆ่าตัวแสดงนำไม่ได้แน่ มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คุณทำไม่ได้ แต่ถ้าคุณทำหนังเล็ก ๆ ก็มีอะไรเพี้ยน ๆ ให้ลองทำเพียบเลย" เจสัน บลูม กล่าว

 

http://www.manager.co.th

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X