หลังจากสร้างชื่อจนกลายเป็นผู้กำกับหนังแนวเสียวสันหลังมือขึ้นหิ้งของวงการ ทั้ง "Saw", "Insidious" และ "The Conjuring" วันนี้ เจมส์ วาน ผู้กำกับฯ มาเลเซีย-จีน สัญชาติออสเตรเลีย รับช่วงทำภาคต่อของหนังแฟรนไชส์ที่มีแฟนคลับทั่วโลก ซึ่งเป็นที่รอคอยอย่างที่สุด ในฐานะภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของ พอล วอล์คเกอร์ ... "Furious 7"

    คุณคุ้นเคยกับ "Fast and Furious" ? 
    "ผมเป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์ ผมยังจำตอนเจอ นีล มอริตซ์ (โปรดิวเซอร์) ก่อนหน้านี้ได้ ผมบอกเขาตลกๆ ว่าถ้าาหาก จัสติน ลิน (ผกก. ภาค 3-6) เลิกทำเมื่อไหร่ ผมเหมาะกับการมาเสียบแทน โดยที่จะไม่มีใครรู้ถึงความแตกต่างได้เลย"

    ในฐานะของคนที่ทำหนังของตัวเองแล้วมีคนอื่นมารับช่วงต่อเป็นซีรี่ส์ การาสลับบทบาทมาทำหนังแฟรนไชส์ที่มีอยู่แล้วมันเป็นยังไงบ้าง ?
    "ผมว่ามันเป็นการพลิกสถานะที่น่าสนใจ เพราะผมต้องเคารพงานที่คนอื่นทำเอาไว้ก่อนแล้ว ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ผมคาดหวังเวลามีคนมาเอาหนังผมไปทำต่อ ขณะเดียวกัน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันที่ผมต้องทำหนังแบบที่ผมอยากทำโดยไม่หลุดไปจากบล็อกที่พวกเขาทำไว้แล้ว ผมรู้สึกว่าผมสามารถฉีกตัวเองออกจากสิ่งที่ผู้กำกับฯ คนก่อนทำเอาไว้ซึ่งทำให้ผมรู้สึกแบบบั้น ผมชอบเรื่องราวความรักในหนัง ผมมีไอเดียที่จะเอามันมาเล่นมากขึ้น ผมเป็นคอหนังสืบสวนสอบสวน และอยากเอาความรู้สึกแบบนั้นมาใส่ในหนังแอ็คชั่น และผมรู้ว่าถ้าผมโฟกัสไปในทางนั้น ทุกอย่างมันจะออกมาอย่างธรรมชาติของตัวผมเอง"    

    คุณเสีย พอล วอล์คเกอร์ ไประหว่างการถ่ายทำ มีสักครั้งมั้ยที่คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้จะถ่ายไม่จบ ?
    "พอล เป็นคนที่ทุกคนรักใคร่ ผมไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นคนที่สุดยอดขนาดนี้จนกระทั่งได้มีโอกาสเจอกับเขา และรู้ว่าเขาเป็นคนธรรมดา และทำตัวไม่เหมือนดาราดังเลย สำหรับนักแสดงหนังดังแบบนี้ เขาดูไม่เหมือนดาราดังเลย และมีหลายครั้งเลยที่เขาไม่อยากคุยเรื่องฮอลลีวู้ด เขาไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายกับมัน ด้วยเหตุผลนี้ ยิ่งทำให้ผมนับถือเขามากขึ้นอีก เรียกว่าเราต่างประทับใจกันตั้งแต่ตอนแรก และเมื่อมันเป็นแบบนี้ การถ่ายหนังให้จบยิ่งต้องเป็นเรื่องที่ทำให้ได้สถานเดียว"
 

    แล้วคุณทำยังไง?
    "เราพัก เราเว้นวรรค และตรวจดูว่าเราทำงานกันไปได้ขนาดไหนแล้ว และตั้งใจเอาไว้ว่า จะยังไงก็แล้วแต่ เราต้องถ่ายหนังให้จบ ตอนเกิดเรื่องเราถ่ายกันไปได้ครึ่งทางแล้ว เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ และมันเป็นงานที่หนักมาก มันไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่มีผู้กำกับฯ คนไหนให้ผมโทร.ไปปรึหาาหารือได้ ตอนแรกเราก็คิดเหมือนกันว่า เราจะปิดจ๊อบโดยไม่มี พอล ได้ยังไง แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเรา ตั้งแต่คนทำหนัง ไปจนถึง วิน ดีเซล และ โปรดิวเซอร์ ที่เราต้องถ่ายทำกันให้จบ เพื่อให้ พอล ได้รับการจดจำ เราลุยกันต่อ อย่างมานะอดทน ผมพูดมาตลอดว่า ตัวผมแน่นไปด้วยลูกล่อลูกชนแพรวพราวเกี่ยวกับการทำหนัง และผมล้วงเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุด ใช้ทุกอย่างที่มี เพื่อทำให้มันจบให้ได้ สิ่งหนึ่งที่ถือว่าล้ำสุดๆ ก็คือเราได้ คาเล็บ กับ โคดี้ น้องของ พอล มามีส่วนร่วม รวมถึง จอห์น บรอเธอร์ตัน ที่อยู่ในหนังอยู่แล้ว และเล่นหลายบทบาท รูปร่างของเขาคล้ายกับ พอล มาก ส่วนสูงเป๊ะ หุ่นก็เป๊ะ และเราเอาครูมาสอนทั้ง บรอเธอร์ตัน และสองพี่น้อง พวกเขาไม่เคยอยู่หน้ากล้อง พวกเขาต้องเรียนรู้การแสดงอย่างเร่งด่วน มันเป็นโลกที่แตกต่างของพวกเขา และผมคิดว่าพวกเขาเคารสิ่งที่พี่ชายเขาทำเอาไว้มากขึ้น ผมซาบซึ้งใจมากกับการที่ได้ครอบครัวมามีส่วนร่วม" 
 

    คุณจะกลับมาทำภาค 8 มั้ย ?
    "ตอนนี้ผมไม่ตัดโอกาสอะไรทั้งนั้น ผมเว้นวรรคจากหนังสยอง ผมทำหนังผีมา 3 เรื่องติด ตอนนี้ผมกลับไปหามันอีกครั้ง และทำ The Conjuring 2 อย่างกระชุ่มกระชวย"
 

    หนังของคุณมีตุ๊กตาน่ากลัวด้วยเสมอ ทำไมถึงชอบจัง ?
    "ผมว่าน่าจะเพราะผมชอบไอเดียเกี่ยวกับการเชิดหุ่น ผมคิดว่าบางมุม การกำกับฯ หนังก็เหมือนการเชิดหุ่น ผมมองเห็นความสัมพันธ์ที่เข้ากันระหว่างสิ่งที่นักเชิดหุ่นกับสิ่งที่ผู้กำกับหนังทำ มันเป็นเรื่องของการมอบชีวิตให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต แต่นั่นไม่เกี่ยวกับนักแสดงของผม นั่นมันเป็นแบบ ฮิตช์ค็อก และผมก็มองนักแสดงว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน"  

    โทษฐานเชี่ยวชาญเรื่องสยองขวัญ คุณเคยเจอผีบ้างมั้ย ?
    "ผมกลัวเรื่องเหนือธรรมชาติ นั่นแหละเหตุผลว่าทำไมผมถึงดีใจมากที่ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้ เพราะถ้าผมเคยเจอเรื่องแบบนี้ ผมว่าผมคงกำกับฯ หนังน่ากลัวๆ ไม่ได้อีกแน่" 

http://www.siamdara.com