เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

นักวิจัยแคนาดาชี้ คนที่คนชอบสักรูปใหญ่ ๆ เสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบซี และติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้

วารสาร International Journal of Infectious Diseases เปิดเผยผลวิเคราะห์รายงานการศึกษา 124 ฉบับ จาก 30 ชาติทั่วโลก เช่น แคนาดา อิหร่าน อิตาลี บราซิล รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย ซึ่งพบว่า ผู้ที่สักบนผิวหนัง เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีรอยสักขนาดใหญ่เป็นแผ่นเดียวบนผิวหนัง จะมีความเสี่ยงสูงที่สุด

นั่นเพราะระหว่างที่ทำการสักนั้น จะมีการใช้เข็มจิ้มลงไปบนผิวหนังราว 80-150 ครั้งต่อวินาที ในการฉีดสีลงบนผิวหนัง นี่เองจึงทำให้เครื่องมือที่ใช้ในการสัก สัมผัสกับเลือด และของเหลวในร่างกาย และหากไม่ได้นำอุปกรณ์เหล่านี้ไปฆ่าเชื้อให้เรียบร้อย ก็จะทำให้เชื้อโรคส่งผ่านต่อไปยังบุคคลอื่น ๆ ที่มาสักได้เช่นกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า ยิ่งรอยสักใหญ่แค่ไหน โอกาสที่อุปกรณ์จะไปสัมผัสกับเลือด และรับเชื้อโรคมาก็ยิ่งมีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากการสักจะเสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบซีแล้ว ยังเสี่ยงต่ออาการภูมิแพ้ โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบบี และเชื้อโรคอื่น ๆ ที่ติดต่อผ่านทางเลือดอีกด้วย หรือแม้แต่จะพยายามลบรอยสักออก ก็ยังมีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ส่วนผสมทางเคมีและพิษของสีที่ใช้ในการสัก อาจเข้าไปสู่ไต ปอด จนเกิดโรคตามมาได้ด้วย

ทั้งนี้รายงานยังระบุด้วยว่า การสัก เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น โดยในประเทศสหรัฐอเมริกา มีหนุ่มสาวที่อายุต่ำกว่า 30 ปีถึง 36% มีรอยสัก ขณะที่ประเทศแคนาดา มีนักเรียนไฮสกูลเกือบ 8% มีอย่างน้อย 1 รอยสัก

โดย ดร.ซิอาวาร์ช จาฟารี แห่งมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ประชาชนทั่วไป รวมทั้งลูกค้าที่จะไปสักควรมีความรู้เรื่องภัยของการสักไว้บ้าง ส่วนผู้ที่ลงมือสัก ก็ควรแจ้งถึงอันตรายจาการสักให้ลูกค้าทราบด้วยเช่นกัน

ข้อมูลจากกระปุกดอดคอม