รัฐบาลสหรัฐสอบการตายของเซซิล สิงโตแห่งซิมบับเว ทางการสหรัฐตั้งคณะทำงานพิเศษ สอบสวนกรณีนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันสังหารสิงโตที่เป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติซิมบับเว ขณะที่ผู้ก่อเหตุยังเก็บตัวเงียบ ในขณะที่ หนึ่งในชมรมล่าสัตว์ของสหรัฐ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่รัฐแอริโซนา  ประกาศระงับสถานภาพสมาชิกของทพ.พัลเมอร์ และออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบการตายของเซซิล 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ว่าสำนักงานประมงและสัตว์ป่าของสหรัฐ ( ยูเอสเอฟดับเบิลยูเอส ) ออกแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี แสดงความ "วิตกกังวลอย่างหนัก" ต่อการตายเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ของ "เซซิล" สิงโตเพศผู้ชื่อดังวัย 13 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติฮวางเกในซิมบับเว หลังถูกยิงด้วยธนูและปืนของนายวอลเตอร์ พัลเมอร์ ทันตแพทย์ชาวอเมริกัน  โดยมีการตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว และขอให้ทพ.พัลเมอร์ติดต่อกลับมายังยูเอสเอฟดับเบิลยูเอสเป็นการด่วนที่สุด 

ด้านสโมสรซาฟารีนานาชาติ ( เอสซีไอ ) หนึ่งในชมรมล่าสัตว์ของสหรัฐ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่รัฐแอริโซนา  ประกาศระงับสถานภาพสมาชิกของทพ.พัลเมอร์ และออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบการตายของเซซิล อย่างไรก็ตาม ทพ.พัลเมอร์เก็บตัวเงียบตั้งแต่มีข่าว และประกาศปิดคลินิกของตัวเองในรัฐมินนิโซตาอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งเต็มไปด้วยประชาชนที่ทั้งมาประท้วงทพ.พัลเมอร์ และแสดงความไว้อาลัยต่อเซซิล ขณะที่รายงานของรัฐบาลซิมบับเวระบุว่า เซซิลเป็นสัตว์ป่าขวัญใจประชาชน เนื่องจากมันไม่มีอาการดุร้ายเมื่อนักท่องเที่ยวถ่ายภาพ และยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยด้านธรรมชาติโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของอังกฤษอีกด้วย 

ทั้งนี้ ประชาชนจำนวนไม่น้อยเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐดำเนินดคีกับทพ.พัลเมอร์ ตามกฎหมายเลซีย์ ( Lacey Act ) ซึ่งสามารถเอาผิดบุคคลใดก็ตามที่กระทำการรุนแรงต่อสัตว์ป่า ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ( ไซเตส ) และสิงโตแอฟริกันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของไซเตส หมายความว่า การนำชิ้นส่วนอวัยวะของเซซิล ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือหัวกลับเข้ามาในสหรัฐ ถือเป็นสิ่งผิดดกฎหมาย  หากไม่ได้รับการอนุญาตจากทางการซิมบับเว“

ภาพประกอบจาก   REUTERS/Eric Miller via torontosun

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก เดลินิวส์ออนไลน์