เผยสาเหตุผลการสอบสวนโศกนาฏกรรม เครื่องบินโดยสารสายการบิน ทรานส์ เอเชีย แอร์เวย์ส เที่ยวบิน 235 ตกในแม่น้ำที่ไทเป เมื่อ 4 เดือนก่อน เป็นเพราะนักบิน‘ผิดพลาด’ ไปดับเครื่องยนต์อีกเครื่อง หลังเครื่องยนต์เครื่องหนึ่งขัดข้อง

เมื่อวันที่ 2 ก.ค.58 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้า กรณีเครื่องบินโดยสารสายการบินทรานส์ เอเชีย แอร์เวย์ส รุ่น ATR72-600 เที่ยวบิน GE 235 ประสบเหตุตกในแม่น้ำคีหลุง ในกรุงไทเป เมืองหลวงไต้หวัน เมื่อวันที่ 4 ก.พ.58 เป็นเหตุให้ลูกเรือและผู้โดยสารเสียชีวิต 43 รายว่า จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวในการสอบสวนสาเหตุโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกเมื่อวันพุธที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า นักบินได้กระทำการผิดพลาด ด้วยการไปดับเครื่องยนต์อีกเครื่องที่ยังทำงานอยู่ หลังจากเครื่องยนต์เครื่องหนึ่งได้ดับไปก่อนหน้าแล้ว

แหล่งข่าวคนดังกล่าว ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ เผยกับนักข่าวรอยเตอร์ว่า เกิดความผิดพลาดของนักบิน ซึ่งทำให้เกิดเรื่องไม่น่าเชื่อมากขึ้นไปอีก และเป็นเรื่องโชคร้ายที่ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นขณะมีนักบินอยู่ในห้องนักบินถึง 3 คน ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการสอบสวนจึงบีบให้แคบลงไปที่นักบินและการฝึกสอนนักบินของสายการบินทรานส์เอเชีย

‘มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่ากัปตันไปดับเครื่องยนต์ผิด แต่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว’ แหล่งข่าวกล่าว พร้อมกับระบุว่า สำนักงานบริหารการบินพลเรือนไต้หวัน (ซีเอเอ) ได้มีคำสั่งให้นักบิน 55 คนของสายการบินทรานส์เอเชีย ทำการทดสอบปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์หลังเครื่องยนต์ขัดข้อง

ทั้งนี้ ตามรายงานเบื้องต้นของการวิเคราะห์ข้อมูลบันทึกการบินของเที่ยวบิน 235 พบว่า เครื่องยนต์หนึ่งใน 2 เครื่องของเครื่องบินได้ดับลงใน 37 วินาที หลังจากนักบินได้นำเครื่องบินทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานในกรุงไทเป และทางเจ้าหน้าที่สภาความปลอดภัยด้านการบินของไต้หวัน กล่าวว่า นักบินได้แจ้ง ‘ฉุกเฉิน mayday’(เมย์เดย์) มายังหอควบคุมการบิน หลังสังเกตว่าเครื่องยนต์ขัดข้อง แต่ทางสำนักงานบริหารการบินพลเรือนไต้หวัน (ซีเอเอ) ยืนยันว่า หอควบคุมการบินไม่ได้ยินสัญญาณ ‘เมย์เดย์’ แต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ นายโทมัส หวัง ผู้อำนวยการซีเอเอ เผยว่า มีรายงานข้อมูลจาก ‘กล่องดำ’ ระบุเครื่องยนต์ทั้งสองเครื่องของเครื่องบินได้หยุดทำงาน และเครื่องบินได้บินโดยไม่มีกำลังจากเครื่องยนต์เป็นเวลากว่า 1 นาที ก่อนจะตกวูบและพุ่งชนสะพาน แล้วตกลงในแม่น้ำ

ขอขอบคุณที่มา  ไทยรัฐออนไลน์