"เงือกสาว" เมื่อวันวาน มธุรดา วงศ์ไวโรจน์ อาสาเป็น "เพื่อนเจ้าสาว" ให้ผู้หญิงทั้งโลก
2014-09-29 08:16:34
Advertisement
คลิก!!!

อดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 11 ที่กรุงปักกิ่ง รุ่นเดียวกับ ศรสวรรค์ ภู่วิจิตร และ รติพร วอง ยุคที่นักกีฬาจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยลูกอึด โดยมีพ่อแม่เป็นลมใต้ปีกประคับประคองลูกให้ไปไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

เอ-มธุรดา (คุโณปการ) วงศ์ไวโรจน์ เป็นนักกีฬายุคนั้น ซึ่งถือเป็นยุคแรกๆ ของการบุกเบิกเข้าชิงชัยในสนามแข่งขันระดับอาเซียน ที่เมืองปักกิ่งเมื่อปี 2533 

แม้ไม่ได้เหรียญทอง แต่เอเชี่ยนเกมส์ครั้งนั้นทำให้คนไทยเทใจร่วมเชียร์กันสุดตัว โดยเฉพาะการแข่งว่ายน้ำ 4x100 เมตร ได้เป็นอันดับ 4 เป็นความหวังสูงสุดของทัพนักกีฬาไทยในยุคนั้น

และตามมาด้วยรางวัลเหรียญทองแดงในการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 14 และ 2 เหรียญเงิน ในการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 15 ไม่นับรวมรางวัลอีกมากมายในการเป็นตัวแทนนักกีฬาระดับมหาวิทยาลัยและกีฬาเขตเล็กเขตใหญ่

มธุรดาอยู่ในสระว่ายน้ำตั้งแต่ 3 ขวบครึ่ง กระทั่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 2-3

เป็นลูกสาวคนโตในสามใบเถาของคุณพ่อ-ธำรง และคุณแม่ ผศ.ดร.รัชนี คุโณปการ มีน้องอีก 2 เถา คือ บัณฑิตา เทียนอินทร์ และ นัธริกา มาลากุล ณ อยุธยา สมรสกับ วิริยะ วงศ์ไวโรจน์ 

การศึกษาชั้นประถม ป.1-ป.6 จากโรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ ชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสตรีวิทย์ จนถึงมัธยม 5 สอบเทียบแล้วเอ็นทรานซ์เข้าไปเป็นลูกแม่โดม คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี เอกการเงินการธนาคาร 

เป็นมนุษย์เงินเดือนครั้งแรกที่ธนาคารไทยพาณิชย์ แผนกวิเคราะห์ธุรกิจเพื่อขยายสาขา แต่อยู่ได้เพียง 6 เดือน ก็ลัดฟ้าไปศึกษาต่อที่เมืองลุงแซม

หลังจากสำเร็จการศึกษาปริญญาโท หลักสูตรเอ็มบีเอ จากมหาวิทยาลัยเซ็นทรัล โอกลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา สิ่งแรกที่เธอทำคือ เข้าไปกราบสวัสดีเจ้านายเก่า ไม่ลืมกรอกใบสมัครทิ้งไว้ แต่...ชีวิตเหมือนถูกจัดวางไว้แล้ว เธอจับผลัดจับผลูเข้าไปทำงานในวงการบันเทิง 

เริ่มจากเป็นโปรดิวเซอร์รายการ Zone One ทำสารคดีเกี่ยวกับเยาวชน รายการใหม่แกะกล่องทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เรียนรู้นับหนึ่งใหม่ ตั้งแต่เขียนสคริปต์ วางโครงเรื่อง คุมตากล้องถ่ายทำ ตัดต่อ เบ็ดเสร็จรวมทั้งเป็นพิธีกรรายการด้วย โดยมีประสาน อิงคนันท์ เป็นพี่เลี้ยง

ปรากฏว่า เธอได้โทรทัศน์ทองคำเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ

ชีวิตเหมือนหยุดไม่อยู่ เมื่อเจ้านายส่งชื่อเธอสมัครเวทีประกวดคอฟฟี่เมด สเตจ ชาเลนจ์ จากผู้สมัครประมาณ 4,000 คน เธอได้รับเลือก

วันดีคืนดี ตั๊ก-มยุรา เศวตศิลา ก็โทร.มาชวนไปทำรายการ "เม้าธ์ทูเม้าธ์" เป็นพิธีกรคู่ ตามมาด้วย...ดีเจอรรณพ กิตติกุล ชวนไปเป็นดีเจคลื่น 104.5 VFM

"ทุกอย่างมาเร็วมาก ที่เคยบอกคุณพ่อว่าจะไปสมัครบริษัทหลักทรัพย์นู่นนี่นั่นเลยหยุดหมด เพราะโอกาสที่เข้ามามันบิ๊กวันทั้งนั้น จากนั้นเลยยิงยาว ทำรายการทีวีแบบครบทุกช่อง รวมทั้งเป็นครูสอนการเป็นพิธีกรให้กับเด็กๆ ที่เจนเอ็กซ์ อคาเดมี 

ช่วงนั้นเป็นฟรีแลนซ์ ทำรายการให้ไอทีวี 2-3 รายการ ทำเรื่องหุ้นให้ช่อง 9 ทำรายการเกี่ยวกับยาเสพติดให้ช่อง 11 เพิ่งออกจากวงการเต็มตัวไม่กี่ปีมานี่เอง" มธุรดาบอก

ปัจจุบันคนทั่วไปจะรู้จักชื่อ "มธุรดา" MATURADA ในฐานะแบรนด์ของเสื้อผ้าสไตล์แคช่วล แวร์ และต่อยอดมาเป็น "ไบรด์สเมด" Bridesmaid (Thailand) มีเธอเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร อาสาเป็นเพื่อนเจ้าสาว ดูแล "ลุค" ของเจ้าสาว เสื้อผ้าหน้าผม ตั้งแต่หัวจรดเท้า กระทั่งชุดชั้นใน

ไปรู้จักกับเธอ...เอ-มธุรดา (คุโณปการ) วงศ์ไวโรจน์ 

- ชอบเล่นกีฬาอยู่แล้ว?

ว่ายน้ำต้องหัดตั้งแต่อายุ 3 ขวบครึ่ง คุณแม่เป็นคนชอบให้เรียนเยอะๆ รำไทยก็เรียน ว่ายน้ำก็เรียน เปียโนก็เรียน เทนนิสก็เรียน ฯลฯ ชอบให้เรียนโน่นเรียนนี่ ให้ลูกค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร เพราะมันเป็นเหมือนทรัพย์สมบัติที่จะติดตัวตลอดไป อย่างว่ายน้ำจุดเริ่มต้นคือ คุณแม่เป็นห่วงว่า ถ้าไม่หัดตั้งแต่เด็ก โตไปจะยาก ฉะนั้นเอจะอยู่ในสระว่ายน้ำตั้งแต่ 3 ขวบครึ่ง ว่ายอยู่ในทีมโรงเรียน (เขมะสิริอนุสสรณ์) จนอายุเกือบ 9 ขวบ ไม่เคยได้สักเหรียญ รู้สึกท้อ จะเลิกว่ายน้ำ คุณแม่จึงขอให้ลงแข่งครั้งสุดท้ายบอกว่า ถ้าพยายามคราวนี้แล้วไม่ได้ จะเลิกก็ไม่ว่า ปรากฏว่าแมตช์นั้นได้เหรียญทองแดง (หัวเราะ) คุณแม่เลยใช้โอกาสนี้กระตุ้นว่าเห็นมั้ยเราทำได้ 

- นั่นเป็นระดับโรงเรียน?

ค่ะ ระดับง่ายๆ คิดว่าเป็นกุศโลบายของคุณแม่ ไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าล้มเหลว หลังจากนั้นเหมือนเป็นการจุดประกาย สถิติว่ายน้ำดีวันดีคืน ติดกีฬาเยาวชนแห่งชาติไปแข่งที่นครศรีธรรมราช ปรากฏว่าครั้งแรกได้มา 7 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน เยอะมาก ตอนนั้น พี่ ย.โย่งมาสัมภาษณ์ยังบอกว่า อนาคตไกลแน่ อย่าเพิ่งให้เลิกนะ จากจุดนั้นก็แข่งมาตลอด จากกีฬาเขตเล็ก กีฬาเขตใหญ่ แล้วเริ่มติดเยาวชนทีมชาติ เยาวชนทีมชาติชุดใหญ่

- มาจากคุณแม่ผลักดัน?

ต้องพูดว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่ายน้ำต้องว่ายตั้งแต่เด็ก คุณแม่ต้องรับส่ง ทำกับข้าว เคยเป็นโค้ชเองด้วย เพราะบางทีเจอแมตช์ใหญ่ มีนักกีฬาเยอะ นักกีฬาหลายคนต้องหาที่ซ้อมเพิ่มเติมเอง เหมือนคุณแม่ก็ต้องไปหาสระซ้อม มีโปรแกรมพิเศษ แต่ถ้าเป็นทีมชาติชุดใหญ่ต้องเก็บตัวก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง

- รางวัลใหญ่สุด?

2 เหรียญเงิน กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 15 เหรียญทองแดง ซีเกมส์ครั้งที่ 14 แต่ถ้าใหญ่สุดคือ เอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่จีน ซึ่งทีมผลัดตอนนั้น 4x100 เมตร ลุ้นมาก ได้ที่ 4 เป็นความหวังสูงสุดสำหรับยุคนั้น ซึ่งก่อนนั้นก็เคยมีพี่นก-รัชนีวรรณ บูลกุล แต่นานแล้วที่เคยได้เหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ ตอนนั้นเรายังหัดว่ายเตาะแตะอยู่เลย หลังจากนั้นก็ไม่มีเลย จนมาครั้งนี้ รุ่น ศรสวรรค์ ภู่วิจิตร รติพร วอง ไปเอเชี่ยนเกมส์ชุดเดียวกัน พอหมดยุคนี้ก็เป็นยุคของรัฐพงษ์ ศิริสานนท์ (ฉลามนุก)

- แล้วการเรียน?

คุณแม่ก็ไม่ให้ทิ้ง ไม่อย่างนั้นคุณแม่คงไม่ให้หยุดว่ายน้ำเป็นปีเพื่อไปกวดวิชาเข้าโรงเรียนสตรีวิทย์ ขณะที่เพื่อนคนอื่นไม่ไป เพราะให้ความสำคัญเรื่องการเรียนคือ พอถึงจุดหนึ่งต้องจริงจังตรงนี้ก็ต้องจริงจัง ฉะนั้นเรื่องเรียนคุณแม่ให้มาเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว แต่คุณแม่ก็ช่วยดูด้วย เราก็ก้มหน้าก้มตาทำให้ดีที่สุด

- รู้สึกว่าชีวิตอยู่ในกรอบ?

นิดๆ ค่ะ แต่เพื่อนนักกีฬาก็เป็นแบบนี้ทุกคน เลยไม่รู้สึกว่ามันแตกต่างแปลกแยก แต่ถ้ามองเทียบกับเพื่อนคนอื่นก็แน่นอน เสาร์-อาทิตย์จะนัดกันแล้ว หิ้วสเกตช์ไปเจอกัน แต่เราก็ไม่รู้สึกอะไร ก็มีเพื่อนเยอะเหมือนกัน ทุกวันนี้พอมองย้อนกลับไป ดีใจด้วยซ้ำ ถ้าวันนั้นเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เสียดายมาก เพราะเราได้ทำอะไรเยอะมาก

- เลิกว่ายน้ำเมื่อไหร่?

หลังกลับจากเอเชี่ยนเกมส์ ตกลงใจจะเลิกแล้ว เพราะไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่ช่วงพีคแล้ว ว่ายน้ำตั้งแต่ 4-5 ขวบกว่าจะเลิกอายุ 20 กว่าๆ ถือว่ายาวมากค่ะ ตอนนั้นเรียนปี 2 ปี 3 แล้ว ต้องเตรียมเดินหน้าไปเรียนต่อไปทำอะไรๆ อีก แต่ก็ยังซ้อมเบาๆ คือ ไม่ได้ใช้ชีวิตว่ายน้ำแบบฟูลไทม์ เพราะยังต้องแข่งเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยทุกปี ต้องแข่งกีฬามหาวิทยาลัยอาเซียน 

- ตอนนั้นวาดอนาคตหรือยัง?

ก็วาดไว้แล้ว จริงๆ ชอบ 2-3 อย่าง ตั้งแต่ตอนจะเอ็นทรานซ์แล้ว ซึ่งก็ได้ปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ว่าจะเอ็นทรานซ์อะไร แต่ในใจชอบศิลปะ อยากเป็นอินทีเรีย ดีไซเนอร์ สนใจมาก กับทางเซอร์วิสคือ โฮเต็ล แมเนจเมนต์ แต่สุดท้ายเลือกทางบิสิเนส เน้นทางบัญชี ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง รวมทั้งคุณพ่อก็บอกว่า ถ้าเลือกโฮเต็ล แมเนจเมนต์ มันเฉพาะเจาะจงมากๆ ไม่แน่ใจว่าอุตสาหกรรมนี้จะบูมขนาดไหน แต่พอเรียนปี 1 รู้ว่าไม่เหมาะกับเรา เลยย้ายมาเอกการเงิน

- แต่ยังชอบศิลปะ?

ค่ะ เป็นคนที่ชอบวาดรูป ชอบสเกตช์ ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กๆ ก็ชอบเล่นตุ๊กตากระดาษ แล้วออกแบบวาดเสื้อผ้าตุ๊กตาเอง เป็นคอลเล็กชั่นเลย เยอะมาก สเกตช์เก็บไว้เป็นเล่มๆ เลยค่ะ

- เข้าไปอยู่วงการบันเทิงตั้งนานทำไมเลิก?

อุตสาหกรรมมันเปลี่ยนค่ะ ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นพนักงานประจำของช่องใดช่องหนึ่ง อุตสาหกรรมทีวีมันก็เริ่มเปลี่ยน หลังๆ สังเกตว่าผู้ประกาศก็มาเป็นพิธีกรได้ด้วย เล่นตลกได้ด้วย ในขณะที่ยุคที่เราทำพิธีกรคือพิธีกร ไม่ข้ามสายกัน เมื่ออุตสาหกรรมเริ่มเปลี่ยน เราไม่มีสังกัดและไม่ได้เป็นเด็กปั้นของใครด้วย พอปรับผังใหม่ อ้าว! ทำไมต้องใช้พิธีกรฟรีแลนซ์ ทำไมไม่ใช้ผู้ประกาศข่าวของช่อง เป็นไปได้ว่าเราต้องหลุด

- แบรนด์ MATURADA ออกแบบเอง?

ค่ะ นับตั้งแต่วันแรก เรามองทิศทางวางว่าต้องการให้ไปทางไหน ดีไซน์เองด้วยเพราะวาดรูปได้ เรื่องตัดเย็บเท่านั้นเองที่ต้องให้ช่างที่ชำนาญ แต่เราต้องสื่อสารได้ว่าอยากให้เป็นไปในทางไหน ตั้งแต่แบรนด์ MATURADA เกิดขึ้นตอนปี 2001 จนถึงวันนี้ก็ยังมีอยู่ที่คริสตัล ปาร์ค เพียงแต่ไม่ได้เป็นผ้าไหมอีกต่อไป เพราะกลุ่มเป้าหมายของเรามองหาอะไรที่ใหม่ตลอด ฉะนั้นคอลเล็กชั่นของเสื้อผ้า มู้ดแอนด์โทนของเสื้อผ้ายังอยู่เหมือนเดิม ในคอนเซ็ปต์ทันสมัย โก้ คลาสสิก อยู่ได้นาน

- กับ Bridesmaid?

เป็นการต่อยอดมาจาก MATURADA คือ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่น้องสาวคนเล็กจะแต่งงาน แล้วลูกค้าประจำท่านหนึ่งก็จะแต่งงาน เลยมานั่งนึกว่าลูกค้าท่านนี้ซึ่งอยู่กับเรามา 7-8 ปีแล้ว ถ้าวันสำคัญของเขาเราได้ออกแบบชุดให้ มันน่าจะสนุก บวกกับได้ช่วยน้องสาว มันเป็นการท้าทาย ถ้าเราจะออกแบบชุดที่เป็นชุดสำคัญเกือบจะที่สุดในชีวิตผู้หญิง แล้วมันไม่ใช่แค่การดีไซน์ แต่มันมาเป็นคอนเซ็ปต์ ใช้ความรู้ที่เรามี เลยเป็นจุดเริ่มต้นของไบรด์สเมด 

ซึ่งมันก็มีที่มาอีกคือ เราได้เห็นจากประสบการณ์การเป็นพิธีกรด้วย ซึ่งตอนนั้นเพื่อนพี่น้องใครจะแต่งงานก็จะมาให้ช่วยเป็นพิธีกรให้ ให้ช่วยจัดการเรื่องช่างแต่งหน้าทำผม มันเห็นอะไรบางอย่างจาก 20-30 งานที่ไป เลยจุดประกายว่า เราแต่งตัวออกจากบ้านเรายังต้องออกแบบเลย เกิดไอเดียว่า ถ้าไบรด์สเมดน่าจะมีการสไตลิ่ง ต้องฟิตติ้ง ต้องผ่านกระบวนการคิดและออกแบบ มันคือ "ลุค" เลยเกิดเป็นคอนเซ็ปต์ เกิดชื่อแบรนด์ ขอเป็น "ผู้ช่วยเจ้าสาว" เปิดมา 7 ปีแล้ว 

วันแต่งงานตัวเอง?

ตอนนั้นยังไม่ได้ทำเจ้าสาวเลย เพราะแต่งงานตอนต้นปี 2001 ไม่ได้ใส่ชุดขาว ใส่ชุดไทยทั้งหมั้นและงานเลี้ยง ตอนนั้นชุดหมั้นตั้งใจเป็นไทยบรมพิมาน คอปิด เพราะชอบไทยแบบจ๋าๆ ส่วนงานเลี้ยง เราชอบที่ต้องไม่ซ้ำคนอื่น รู้สึกว่าถ้าแขกเดินเข้างานแล้วเราใส่ชุดขาวมันเหมือนคนอื่น แต่ถ้าเราใส่ชุดไทย เขาจะเหลียวกลับมามองทันที ฉะนั้นชุดงานเลี้ยงจะเป็นชุดไทย แต่ประยุกต์ให้มันหรูหราเป็นสไบ แล้วมีเทียร่าเล็กๆ 

ซึ่งเวลาไปตัดชุดก็ไปคนเดียว เจ้าบ่าวเห็นชุดก็ในวันจริง แม้แต่คุณแม่และน้องก็ไม่เห็น พอคุณแม่ถามว่าชุดเรียบร้อยมั้ย เรียบร้อยค่ะ เพราะเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เราจัดการเอง ถ้าหลายความเห็นแล้วเราจะปวดหัว พอคิดปุ๊บแล้วลุยเลย

- สนใจธรรมะถึงกับตั้งกลุ่ม "เบิกบานบุญ"? 

ไม่เชิงค่ะ คือคุณแม่เป็นคนอธิบายเรื่องทางพุทธศาสนาแล้วเข้าใจง่าย จนไม่นานนี้ มีวันหนึ่งเราสวดมนต์ก็จะถามคุณแม่ว่าสวดอย่างนี้ถูกหรือมันผิด คุณแม่ก็จะอธิบายให้ฟังสั้นๆ เราฟังแล้วก็ไม่เบื่อ ก็จะซักถามเรื่อยไป เลยทำให้เข้าใจเรื่องเหล่านี้ง่ายขึ้น 

ส่วน "เบิกบานบุญ" มาจากการที่ได้ตักบาตรที่หน้าบ้าน ได้เจอคุณอาคุณน้าที่มาตักบาตรทุกเช้า แล้วมี 2-3 ท่านอยากจะจัดนั่งสมาธิ เราอาสาถามคุณแม่ให้ เพราะคุณแม่เคยนั่งปฏิบัติธรรม เลยเป็นจุดเริ่มต้น ทีนี้พอรวมตัวกันเวลาจะออกจดหมายไม่มีชื่อเรียก เลยบอกว่างั้นใช้ชื่อว่า "เบิกบานบุญ" ก็แล้วกัน

- ปฏิบัติธรรมด้วย?

ถ้าถามว่าปฏิบัติธรรม จริงๆ มันต้องอยู่ในชีวิตประจำวันของเราคือ เราต้องมีสติ เวลาเจอปัญหา รักโลภโกรธหลง โมหะโทสะ ถ้าเราปฏิบัติธรรม เราต้องคุมตัวเองให้ได้ ก็พยายามระลึกตัวเองไว้ ถ้าไม่ถึงแสดงว่ามันไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าตั้งใจว่าเสาร์นี้จะต้องไปที่นั่นที่นี่ จะไม่ค่อยค่ะ

ส่วนนั่งสมาธิมีบ้างก่อนนอน แต่ไม่ถึงกับนุ่งขาว เดินจงกรม เพราะตามหลักการจากที่เราคุยกับคุณแม่ คุยกับพระอาจารย์ก็คือ จริงๆ มันไม่มีอะไรยุ่งยาก ถึงกับจะต้องกำหนดว่าวันนี้ฉันจะปฏิบัติธรรมนะ จะนุ่งขาวห่มขาว เอว่าของอย่างนี้เราต้องเข้าใจว่าปลายทางคืออะไร เราจึงจะทำตัวถูก ซึ่งเท่าที่สติปัญญาเข้าใจคือ เราต้องเอาธรรมะมาอยู่ในชีวิตให้ได้ ซึ่งถ้าชีวิตเราคือ 24 ชั่วโมง ธรรมะต้องอยู่กับเราตลอด อย่างวันนี้ตื่นมารู้สึกจิตใจหดหู่ ซึมเศร้า สติเราต้องมาว่า เราจะจัดการกับความหดหู่ เครียด จิตตก เราจะแก้ยังไง... 

ปัญญาต้องมา เพราะแต่ละวันเรามีปัญหา มีอารมณ์ฟุ้ง ถ้าเราจัดการได้ มันก็จะผ่านพ้นไปได้

ที่มา  มติชนออนไลน์

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X