บทสัมภาษณ์ เรนัลโด มาร์คัส กรีน (ผู้กำกับ) KING RICHARD
2022-02-14 08:50:10
Advertisement
Pyramid Game

คำถาม: คุณทราบอะไรบ้างเกี่ยวกับครอบครัววิลเลียมส์ก่อนอ่านหนังสือ “King Richard” และความรู้สึกแรกเมื่อได้อ่านเป็นอย่างไร

 

เรนัลโด มาร์คัส กรีน: ผมไม่รู้อะไรมาก่อนครับ ผมไม่ได้รู้เรื่องราวของครอบครัวนี้มากมายนัก ถ้าจะให้พูดตามตรง แล้วผมก็ไม่ได้เป็นแฟนเทนนิสขนานแท้ด้วย เพียงแต่ว่าผมนับถือวีนัสและเซเรนาในฐานะคนผิวดำที่มีความเป็นเลิศด้านกีฬา เช่นเดียวกับที่ผมรู้สึกต่อไทเกอร์ วูดส์ พวกเขาทำให้ผมรู้สึกว่า “เยี่ยมเลย คนผิวสีก็ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้” ผมสนับสนุนเรื่องราวแบบนี้ ผมไม่ทราบข้อมูลของครอบครัวนี้มากนัก นอกจากที่เคยเห็นผ่านตาตามอินเตอร์เน็ตหรือในนิตยสารกีฬา แต่พอได้ทำความรู้จักครอบครัวนี้ ผมก็พบเรื่องราวที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย บทภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยมมากครับ แซ็ค เบย์ลินเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงาม งานส่วนหนึ่งของผมคือการทำงานร่วมกับเขาเพื่อปรับบทให้ลึกขึ้นอีก ด้วยการค้นหาคำตอบว่าเราตามหาอะไรอยู่ เรามองหาอะไรและพยายามจะพูดอะไรออกมา เราใช้เวลาช่วงสองสามเดือนต่อมาพยายามตอกย้ำประเด็นเหล่านี้ในการทำงาน

 

คำถาม: ผมเข้าใจว่าคุณผูกพันกับเรื่องราวว่าด้วยการเป็นพ่อของนักกีฬา ช่วยเล่าถึงเรื่องราวของคุณและความผูกพันที่มีต่องานชิ้นนี้ได้ไหมครับ

 

เรนัลโด มาร์คัส กรีน: พ่อของผมคิดว่าลูกสองคนน่าจะโตมาเป็นนักเบสบอลครับ ดังนั้นเช่นเดียวกับครอบครัววิลเลียมส์ เราจึงใช้เวลาหนึ่งในสามของชีวิตอยู่ในสนามเบสบอล นี่ไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมจำไม่ค่อยได้เลยว่าสมัยเด็กๆ เราทำอะไรบ้างนอกจากอยู่ในสนามเบสบอล ผมเคยเล่นในทีมต่างๆ มากมาย ทั้งทีมรวมดาว ทีมที่ตระเวนแข่งตามทัวร์นาเมนต์ แต่เราโตมาในบ้านที่มีผู้ปกครองคนเดียว ผมจึงมีพ่อคอยดูแล แล้วเราก็เข้าใจว่าคนส่วนใหญ่เติบโตมาแบบเดียวกัน คือมีพ่อแม่ที่ทุ่มเทความรักและอุทิศเวลาให้เหมือนกับที่พ่อทุ่มเทให้ผมกับพี่

 

เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ได้เล่นเบสบอลระดับวิทยาลัย ผมไปคัดตัวเข้าลีกใหญ่อยู่สองครั้ง ถึงจะไม่ผ่านแต่ผมก็ไปไกลระดับหนึ่งเลย ดังนั้นผมจึงเข้าใจว่าการเป็นนักกีฬาที่ต้องแข่งขันในระดับสูงนั้นเป็นอย่างไรและมีความท้าทายอย่างไร สิ่งที่คุณต้องเผชิญ ความกดดันเมื่อคุณก้าวขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง จริงอยู่ เทนนิสกับเบสบอลเป็นกีฬาที่แตกต่างกันมาก แต่ก็ต้องอาศัยการสอดประสานกันในแง่ของการแกว่งไม้และการเคลื่อนไหว การเล่นเทนนิสก็เหมือนการเป็นคนขว้างลูกและตีลูกในเวลาเดียวกัน ดังนั้นผมจึงนำสิ่งที่เรียนรู้จากเบสบอลมาตั้งแต่เด็กมาใช้กับเทนนิส และเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทนนิสรวมถึงพูดคุยกับครอบครัววิลเลียมส์ ผมก็ตกหลุมรักกีฬาชนิดนี้และศึกษาให้มากขึ้น

 

สำหรับผมแล้วสิ่งสำคัญกว่าการทำหนังเทนนิสคือการทำหนังเกี่ยวกับครอบครัว ครอบครัวที่เล่นเทนนิส ทุกคนรู้ดีว่าวีนัสและเซเรนาเป็นนักกีฬาสองคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล...แต่หนังของเราจะพิเศษตรงไหน นี่คือสิ่งที่ผมถามตัวเองและต้องการได้รับจากบทภาพยนตร์รวมถึงทีมนักแสดง มาค้นหาสิ่งที่เราไม่รู้กันเถอะ มาเจาะลึกยิ่งขึ้นเกี่ยวกับครอบครัวนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้จากการสนทนากับคนในครอบครัววิลเลียมส์ 

 

แซ็ค (มือเขียนบท) ทีมผู้อำนวยการสร้าง และผมได้พบกับวีนัส เซเรนา และออราซีน เราได้อิชชา ไพรซ์เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารของหนังเรื่องนี้ ลินเดรีย ไพรซ์ เป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกาย ผมจึงได้รับทราบข้อมูลเจาะลึกมากมาย และสิ่งที่เราได้รับก็คือเรื่องราว สำหรับผมในฐานะคนเล่าเรื่อง จะมีอะไรดีไปกว่าเรื่องราวอีกล่ะ ทุกคนมีเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อของตัวเอง มีมุมมองว่าพ่อของตัวเองเป็นคนอย่างไร อินเตอร์เน็ตสะท้อนภาพริชาร์ดออกมาเป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่ทางครอบครัวก็ถ่ายทอดภาพของเขาออกมาเป็นอีกอย่าง ผมคิดว่ามุมมองเหล่านี้สำคัญต่อเรื่องราวของเรา การที่จะได้พูดว่า “โอ้ น่าสนใจนะ เราไม่รู้เรื่องนั้นเกี่ยวกับเขามาก่อนเลย เราไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงผิวดำห้าคนนั่งรถตู้โฟล์คสวาเกนเพื่อไปช่วยเก็บบอลให้น้องสาว มันเยี่ยม มันจริง และมันสำคัญมาก” ทำไมถึงสำคัญ เพราะไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงสองคนเล่นเทนนิสไปตามคำสั่งแล้วกลายเป็นแชมป์ แต่พวกเธอเป็นเด็กผู้หญิงสองคนที่ได้รับความรักอย่างเปี่ยมล้น พวกเธอได้รับความรักอย่างมหาศาล ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากบรรดาพี่สาวและพ่อแม่ที่อุทิศชีวิตเพื่อให้เด็กสองคนนี้ได้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ ไม่ใช่ในแง่เงินทอง แต่เป็นการปฏิบัติต่อตนเอง การเคารพตนเอง นี่คือการเดินทางที่คุณจะได้เห็นในหนังเรื่องนี้

 

เพราะฉะนั้นในการถ่ายทอดบทออกมาเป็นภาพยนตร์ กระบวนการส่วนใหญ่คือการที่ผมทำงานร่วมกับแซ็ค และทำงานร่วมกับครอบครัว เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ปรุงแต่งเรื่องราวให้ดูดีเกินไป รวมถึงนำเสนอส่วนที่ดีที่สุดของหนังซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่ผู้ชมจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับครอบครัวนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะดูหนังกันไปทำไมจริงไหมครับ เราอยากที่จะได้ค้นพบอะไรบางอย่าง และผมหวังว่าระหว่างดูหนังเรื่องนี้ คุณจะได้ค้นพบสิ่งที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับริชาร์ด สิ่งที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับออราซีน เกี่ยวกับครอบครัวนี้ หรือเกี่ยวกับวีนัสหรือเซเรนา 

 

เพราะฉะนั้น คุณอาจมาดูหนังโดยคิดว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่ที่จริงคุณไม่รู้ ซึ่งการทำหนังที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวไปจบลงที่ตรงไหนก็เป็นเรื่องยากนะครับ ทุกคนรู้ว่าตอนนี้วีนัสและเซเรนาอยู่ตรงจุดไหน แต่ไม่รู้เรื่องราวการเดินทางที่นำพวกเธอมาถึงจุดหมายนั้น ผมคิดว่าตรงนี้แหละคือความท้าทาย ขณะเดียวกันความงดงามในการทำหนังเรื่องนี้ก็คือการที่เราต้องท้าทายตัวเองให้ค้นหาการเดินทางนั้น และผมว่าเราก็ได้พบ

 

คำถาม: ช่วยพูดถึงการทำงานกับวิลล์หน่อยได้ไหมครับ นอกจากรับบทริชาร์ดแล้วเขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย

 

เรนัลโด มาร์คัส กรีน: วิลล์เป็นนักแสดงที่น่าทึ่ง เรารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่ง ตอนได้เขามาร่วมงาน ผมคิดว่า “บทนี้น่าจะเหมาะกับวิลล์ด้วยหลายเหตุผล เขาอายุมากพอที่จะช่วยให้มีบุคลิกที่หนักแน่นสมจริงเหมาะสำหรับบทนี้ได้พอดี” 

 

และผมได้ดูวิลล์ใน “Concussion” รวมถึงหนังอีกสองสามเรื่องที่ต้องอาศัยการแต่งหน้าเอฟเฟ็กต์พิเศษหรือเปลี่ยนสำเนียงการพูดในระดับหนึ่ง ผมแค่อยากให้แน่ใจว่าสิ่งใดๆ ก็ตามที่เราทำในหนังเรื่องนี้จะไม่ไปรบกวนการแสดง และจากการสนทนากับวิลล์ เขาก็เปิดรับในเรื่องนี้มากๆ เราต้องหาสมดุลที่พอเหมาะสำหรับคนที่มีบุคลิกแตกต่างชัดเจนและมีชื่อเสียงอย่างริชาร์ด กับการให้วิลล์ สมิธมารับบทนี้ สิ่งหนึ่งที่เราต้องคิดคือจะทำให้วิลล์หายไปได้อย่างไร ดังนั้นเราจึงต้องหาวิธีแต่งหน้าในระดับที่พอเหมาะ ไม่ใช่แต่งแบบจัดเต็ม แค่ลดทอนรูปลักษณ์ของวิลล์ลงมากพอที่จะทำให้เขาหายไป เขายังคงดูหล่อเหลา ถึงจะกินมัฟฟินตลอดสองเดือนก็เถอะ (หัวเราะ) เขายังคงดูดีมากๆ ครับ และเราก็พบจุดที่ลงตัวสำหรับวิลล์ วิลล์มีทีมงานที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น จูดี เมอร์ด็อค ซึ่งทำผมและแต่งหน้าให้เขา เพียร์ซ ออสติน ซึ่งเป็นช่างทำผม แอรอน สไปเซอร์ ซึ่งเป็นโค้ชด้านการแสดงที่คอยจัดบุคลิกท่าทาง การค้อมไหล่ และการแสดงออกต่างๆ ให้ถูกต้อง ผมเลยได้ทำงานกับคนเก่งๆ ในสาขานั้นไปด้วย ซึ่งช่วยได้มากทีเดียวครับ 

 

จากนั้นเราก็มาคุยกันว่าอยากจะได้อะไรจากริชาร์ดและตัวละครนั้น เช่นเคย เราต้องไม่ปรุงแต่งให้ริชาร์ดดูดีเกินไป และวิลล์ก็ตั้งใจไว้แบบนั้น ผมมักเปรียบวิลล์กับทอม เบรดี [ควอเตอร์แบ็คที่ชนะซูเปอร์โบลว์มาแล้วหกสมัย] เขาประสบความสำเร็จมามากมายในชีวิต เขามีผลงานมาแล้วมากมาย แต่ก็ยังอยากทำต่อ นักแสดงเก่งๆ ทุกคนก็ต้องทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อการแสดงอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมประทับใจในตัววิลล์นอกจากการแสดงหน้ากล้องก็คือความใส่ใจเมื่อเขาอยู่นอกกล้อง ความใส่ใจที่เขามอบให้เด็กๆ ทุกคนเล่นได้ดีขึ้นไปอีกขั้นเมื่อมีวิลล์ สมิธอยู่ในฉากด้วย คุณจึงได้การแสดงที่ยอดเยี่ยมซึ่งเป็นผลจากความใส่ใจเมื่อเขาอยู่นอกฉาก เขาไม่ได้รีบวิ่งกลับเข้าที่พักเวลาที่เด็กๆ ถ่ายทำกัน เขาอยู่ดูด้วย น่าประทับใจมากครับ เขาคอยใส่ใจอยู่ตลอด และการแสดงระดับนั้นเป็นอะไรที่พิเศษ แล้วยังมีทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในบทสมทบด้วย อันจานู เอลลิส... 

 

คำถาม: ผมกำลังจะถามถึงอันจานูอยู่พอดีเลย

 

เรนัลโด มาร์คัส กรีน: จะให้ผมชมอันจานูแค่ไหนก็คงไม่พอครับ เราทุกคนรู้ว่านี่เป็นเรื่องราวของริชาร์ด วิลเลียมส์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “King Richard” แต่อาวุธลับที่แท้จริงของเราคือออราซีน ไพรซ์ ที่รับบทโดยอันจานู เอลลิส และมิติที่เธอได้เพิ่มเข้ามาในฉากต่างๆ ผมคิดว่าเธอควรได้รับเครดิตไปเต็มๆ จากการถ่ายทอดบทแม่ให้มีชีวิตขึ้นมา และผมแน่ใจว่าเธอได้รับหลายอย่างมาจากการพูดคุยกับทางครอบครัวและเทปของออราซีน รวมถึงอาจจะมาจากการทำงานร่วมกันของเราด้วย… เธอนำเสนอบทบาทการแสดงอันน่ามหัศจรรย์ซึ่งช่วยเพิ่มทั้งมิติและความลึก ตอนที่ผมพบออราซีน เธอบอกว่า “อย่าทำให้ฉันดูงี่เง่านะ” ผมเลยคัดนักแสดงโดยนึกถึงคำคำนี้ “อืม อันจานู เอลลิส ไม่งี่เง่าแน่นอน” พอเธอเล่นคู่กับวิลล์ ทีมงานต่างก็มองตากันและรู้สึกเลยว่า “เป็นธรรมชาติมาก” เธอทำให้เราทึ่งครับ เป็นคนที่พิเศษและมีความสามารถรอบด้าน ผมหวังว่าเธอจะได้รับรางวัลตอบแทน ไม่ในเรื่องนี้ก็เรื่องหน้า แต่เธอเป็นคนพิเศษจริงๆ ผมหวังว่าเราจะได้ทำงานร่วมกันไปอีกหลายปี

 

คำถาม: แล้วนักแสดงที่มาเล่นเป็นวีนัสและเซเรนาล่ะครับ ซาไนอา ซิดนีย์ และเดมี ซิงเกิลตัน ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย

 

เรนัลโด มาร์คัส กรีน: พวกเธอยังเด็กมากและต้องมาพบความท้าทายในการรับบทตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ แค่เรื่องนั้นก็ยืนยันได้ถึงตัวตนของพวกเธอในฐานะนักแสดงรุ่นเยาว์แล้วครับ ลืมเรื่องอายุไปเลย ยังไงพวกเธอก็เป็นนักแสดงที่เก่งมาก เราโชคดีที่ทั้งสองคนเคยผ่านประสบการณ์ด้านงานแสดงก่อนมาเล่นเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่การลงสนามครั้งแรก ซาไนอาเคยทำงานกับนักแสดงระดับตำนานอย่างเดนเซล วอชิงตันและวิโอลา เดวิส ส่วนเดมีก็เคยทำงานกับตำนานอย่างฟอเรสต์ วิตเทกเกอร์ ดังนั้นพวกเธอจึงมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว สิ่งที่เรานึกไม่ถึงมาก่อนคือพวกเธอดูเหมือนพี่น้องกันมากๆ สองคนนี้รักกันมาก คือมีบางทีเราต้องบอกว่า “นี่เด็กๆ เราถ่ายทำกันอยู่นะ ไม่เอาน่า!” (หัวเราะ) พวกเธอเป็นพี่น้องกันเลย น่าทึ่งมากครับ ไม่ใช่แค่สองคนนี้ แต่ทั้งห้าคน มิเคย์ลา ลาแช บาร์โธโลมิว, แดเนียล ลอว์สัน, เลย์ลา ครอว์ฟอร์ด รวมถึงซาไนอาและเดมี ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ อะไรแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในการทำหนังเสมอไปนะครับ บางครั้งพอสั่ง “คัต” ทุกคนก็ต่างคนต่างไป มันก็เกิดขึ้นได้ แต่ครอบครัวนี้รักกันมากทั้งในจอและนอกจอ เราโชคดีจริงๆ พวกเธอเหมาะกับบททั้งในแง่บุคลิกและการแสดง และในฐานะนักแสดงอายุ 12 และ 13 ปี ความทุ่มเทของพวกเธอในการรับบทก็นับว่าน่าชื่นชมมาก ที่ต้องพูดคือผมต้องขอบคุณพ่อแม่ของนักแสดงที่อุตส่าห์มากองถ่ายทุกๆ วัน บางครั้งคุณอาจเจอพ่อแม่ที่แค่มาส่งลูกไว้ที่กองถ่าย แต่พ่อแม่กลุ่มนี้คอยอยู่กับลูกๆ ดูแลให้กินมื้อกลางวัน ดูแลให้เรียนหนังสือ มันเป็นเครื่องยืนยันถึงเรื่องราวการเป็นพ่อแม่ทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง เด็กๆ จะไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ถ้าไม่มีพ่อแม่คอยเอาใจใส่ นับว่าน่าทึ่งจริงๆ ครับ เด็กๆ มีระบบที่คอยสนับสนุนอย่างเต็มที่เลย

 

ผมหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ช่วยสนับสนุนพวกเขาด้วยเช่นกัน และเด็กๆ ยังได้รับการสนับสนุนจากวิลล์ที่เป็นเหมือนคุณพ่อในกองถ่าย และอันจานูที่เป็นเหมือนคุณแม่ในกองถ่าย พวกเขานำประสบการณ์มามอบให้เรา ขณะเดียวกันก็ยังได้มอบความใส่ใจด้วย เพราะรู้ดีว่าเด็กๆ ต้องเผชิญความท้าทายอย่างไรบ้างในฐานะนักแสดงรุ่นเยาว์และช่วยให้เด็กๆ ได้มีพื้นที่ เด็กๆ เป็นนักแสดงที่มีความสามารถมากนะครับ ผมไม่อยากให้เรื่องอายุหรือตัวเลขเข้ามาเกี่ยว เพราะเด็กๆ เป็นนักแสดงที่เก่งมาก นักแสดงที่เก่งจะต้องมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี และแสดงได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเด็กๆ ก็ทำได้ในหนังเรื่องนี้ ผมหวังว่าผู้ชมจะรู้สึกได้เช่นกันเมื่อดูหนังเรื่องนี้

 

คำถาม: คุณอยากให้ผู้ชมได้รับอะไรกลับไปจากการชมหนังเรื่องนี้ครับ

 

เรนัลโด มาร์คัส กรีน: ผมคิดว่าแต่ละคนอาจได้รับสิ่งที่แตกต่างกันไป และผมคงไม่ระบุลงไปว่าต้องเป็นสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น แต่ผมคิดว่าทุกคนที่ดูหนังอาจนำแผนการของริชาร์ดไปใช้ได้บ้าง คงไม่ใช่ทั้ง 78 หน้าหรอก แต่ผมคิดว่าเราทุกคนจะได้เห็นว่า ถ้าคุณมอบความรัก ความทุ่มเท และเวลาให้อะไรสักอย่าง คุณก็สามารถบรรลุเป้าหมายอันน่าทึ่งในชีวิตได้ สิ่งที่ริชาร์ดและออราซีนในฐานะครอบครัวได้มอบให้แก่ลูกๆ ก็คือความรักความทุ่มเทอันไร้ขีดจำกัดในการเลี้ยงเด็กๆ ให้เติบโตมาเป็นมนุษย์ที่ดี สิ่งนี้เองเป็นเครื่องยืนยันถึงจุดที่วีนัสและเซเรนายืนอยู่ในปัจจุบัน พวกเธอไม่ใช่แค่นักกีฬาที่เก่ง แต่เป็นมนุษย์ที่น่าทึ่งด้วย พวกเธอมอบสิ่งดีๆ กลับคืนสู่ชุมชน ไม่หวาดกลัวหรือท้อถอยเมื่อตกอยู่ภายใต้ความกดดัน เพราะพวกเธอเล็งเห็นคุณค่าของตนเองมากกว่าการเป็นนักเทนนิส พวกเธอเห็นคุณค่าของตนเองในฐานะพลเมืองที่ดีและมนุษย์ที่ดี ผมคิดว่าถ้าเราทุกคนหันกลับมามองตัวเองและให้คุณค่าแก่ตัวเองมากขึ้นอีกนิด... ก็เหมือนกับว่าเราได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากหน้ากระดาษในแผนการฉบับนั้น

 

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X