เผยวัยแรงงานป่วยโรคกลุ่มเอ็นซีดีสูง-เด็กอ้วนสูงเป็นอันดับ 2 กลุ่มอาเซียน แนะใช้เทศกาลกินเจ' 2 ปรับพฤติกรรมการกิน
2014-10-05 15:25:46
Advertisement
คลิก!!!

       สธ. เผยคนไทยป่วยโรคติดต่อไม่เรื้อรัง หรือ เอ็นซีดี ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ และมะเร็ง รวมปีละกว่า 89,000 คน ในจำนวนนี้กว่า 30,000 คน หรือร้อยละ 37 อยู่ในวัยแรงงานอายุไม่ถึง 60 ปี และยังพบเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นโรคอ้วน ถูกจัดให้อยู่อันดับ 2 กลุ่มประเทศอาเซียน เพราะพฤติกรรมบริโภคอาหารไม่เหมาะสม แนะใช้เทศกาลกินเจ ครั้งที่ 2 ปรับเปลี่ยนตัวเองเน้นกินผักผลไม้ครึ่งหนึ่งของทุกมื้ออาหาร
       
       นายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือที่เรียกว่าโรคเอ็นซีดี (Non Communicable Disease : NCD) สูงขึ้นมาก โดย 4 โรคที่พบอันดับต้นๆ ได้แก่ มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ในปี 2555 มีผู้เสียชีวิตรวมกันจำนวน 89,775 คน โดยร้อยละ 37 หรือ 33,545 คน เสียชีวิตขณะอายุยังไม่ถึง 60 ปี ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คนวัยแรงงานอายุสั้นลง หากไม่เร่งแก้ไขคาดว่าปัญหาโรคเอ็นซีดีจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของครัวเรือน ทำให้ขาดแรงงานหลักหรือเสาหลักสร้างรายได้ให้ครอบครัว รวมทั้งผู้สูงอายุอาจขาดผู้ดูแล โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกคนเดียว
       
       รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า สาเหตุของโรคเอ็นซีดี ส่วนใหญ่เกิดจากการมีพฤติกรรมสุขภาพประจำวันที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สมดุลกัน เช่น พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย โดยจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดในปี 2554 พบว่า ประชากรอายุ 11 ปีขึ้นไป ออกกำลังกายเพียงร้อยละ 26 นอกจากนี้ ยังนิยมรับประทานอาหารที่รสหวาน มัน เค็มมากขึ้น ส่วนผัก ผลไม้ รับประทานน้อยมากเฉลี่ยคนละ 1.8 กรัม หรือไม่ถึงวันละ 2 ขีด ซึ่งตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกกำหนดให้กินผักให้ได้วันละ 4-6 ขีด ซึ่งผลดีของการกินผักผลไม้ ร่างกายจะได้รับวิตามินบำรุงร่างกายตามธรรมชาติ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี ทำให้มีภูมต้านทานโรค ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น เนื่องจากมีกากใยมาก และกากใยนี้จะช่วยซับไขมันออกทางอุจจาระด้วย

        นอกจากนี้ ยังพบว่า คนไทยประสบปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน จากข้อมูลสุขภาพของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ล่าสุด ในปี 2555 มีคนไทยอายุ 5 ปีขึ้นไปเป็นโรคอ้วนมากถึง 17 ล้านคนทั่วประเทศ และยังมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 ล้านคนต่อปี เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์สุขภาพในกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่าเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไปมีภาวะโภชนาการเกินร้อยละ 8 สูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศในกลุ่มอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย จึงให้กรมอนามัยบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพัฒนาสังคม เป็นต้น
       
       ทางด้าน นายแพทย์ พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยจะเร่งรัดรณรงค์ให้คนไทยทั่วประเทศตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี ลดการบริโภคอาหาร หวาน มัน เค็ม ให้เป็นนิสัย กินผัก ผลไม้ทุกมื้อ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลม หรือน้ำหวาน งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ ในเบื้องต้นนี้ขอเชิญชวนให้ประชาชนใช้โอกาสช่วง “เทศกาลกินเจ” ซึ่งในปีนี้จะมี 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 วันที่ 24 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2557 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและสร้างนิสัยต่อเนื่อง ในการเริ่มต้นปรับพฤติกรรมการบริโภคเพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี โดยในแต่ละมื้ออาหารให้เพิ่มการรับประทานผักให้ได้ครึ่งหนึ่ง ข้าว-แป้ง และโปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเมล็ดอย่างละหนึ่งในสี่ของจาน รวมทั้งเสริมด้วยผลไม้สด 1 จานเล็ก เพื่อเป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร
       
       สำหรับแผนในปี 2557 - 2558 กรมอนามัยได้จัดโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเน้นการพัฒนาสุขภาพดีให้เด็กนักเรียนทั่วประเทศ ส่วนกลุ่มวัยรุ่นเน้นการส่งเสริมให้บริโภคอาหาร ออกกำลังกาย กลุ่มวัยทำงานจะร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมในการทำงาน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น เหล้า บุหรี่ จัดโครงการส่งเสริมสุขภาพวัยทำงานโครงการส่งเสริมแบบแผนการมีกิจกรรมทางกาย ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพแก่บุคลากรในสถานประกอบการ รวมทั้งโครงการดูแลมะเร็งเต้านม การดูแลผู้สูงอายุ พัฒนาคลินิกไร้พุงในโรงพยาบาลทุกระดับ ซึ่งจะเน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เป็นต้นเหตุการเจ็บป่วย และการตรวจคัดกรองโรคเช่นเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงให้ครอบคลุมกลุ่มวัยแรงงานไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90

ที่มา  http://www.manager.co.th/

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X