“ONCE UPON A TIME… IN HOLLYWOOD” ข้อมูลงานสร้างเบื้องต้น
2019-08-19 17:08:46
Advertisement
Pyramid Game

 

ใน Once Upon a Time… in Hollywood เควนติน ทารันติโนยังคงเดินหน้าพัฒนาผลงานและสร้างความแปลกใจให้กับผู้ชมอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเครื่องหมายการค้าของผลงานโดยทารันติโนอย่างครบถ้วน ด้วยความเป็นเรื่องราวออริจินอล ที่มีตัวละครแปลกใหม่ นำเสนอด้วยเทคนิคที่ถูกขับเน้นอย่างโดดเด่น ผลงานเรื่องที่เก้าเรื่องนี้ของเขายังเป็นนิมิตหมายใหม่สำหรับตัวผู้กำกับ/มือเขียนบทผู้นี้อีกด้วย นี่เป็นเรื่องราวที่ถูกขับเคลื่อนด้วยตัวละคร รับมือกับประเด็นที่เคร่งเครียดของความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง ที่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องเผชิญหน้ากับมันเมื่อเรามีอายุมากขึ้น ในฮอลลีวูด การดิ้นรนนี้เห็นชัดเป็นพิเศษ เพราะความสำเร็จและความล้มเหลวอยู่เคียงข้างกัน ใน Once Upon a Time… มันเป็นแบบนั้นจริงๆ และในแบบเปรียบเทียบด้วย

ในการนำนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสองคนมาประกบคู่กันครั้งแรกและจำลองยุคที่ถูกลืมเลือนไปขึ้นมา ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องเยี่ยมที่พร้อมสำหรับจอเงินอยู่แล้ว มันเป็นภาพยนตร์ออริจินอลของแท้ท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยซีเควลและซูเปอร์ฮีโร

ในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1969 ทารันติโนได้จำลองยุคสมัยและสถานที่ในช่วงเวลาวัยหนุ่มของเขา ในตอนที่ทุกสิ่ง ทั้งอเมริกา เมืองลอสแองเจลิส ระบบดาราของฮอลลีวูดหรือแม้กระทั่งภาพยนตร์เอง มาถึงจุดหักเก และไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้แตกต่างซักเท่าไหร่จากความเปลี่ยนแปลงที่โหมกระหน่ำอยู่ในฮอลลีวูดยุคปัจจุบัน

ศูนย์กลางของเรื่องคือริค ดัลตัน ที่รับบทโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ริคเป็นนักแสดงนำของ “Bounty Law” ซีรีส์ยอดนิยมในยุค 50s และต้นยุค 60s แต่เขากลับไม่สามารถขยับขยายไปโด่งดังในแวดวงภาพยนตร์ตามที่หลายคนคาดการณ์เอาไว้ ในตอนนี้ ขณะที่ฮอลลีวูดก้าวไปสู่สุนทรียศาสตร์แบบฮิปปี้ ริคก็กังวลว่าช่วงเวลาของเขาได้ผ่านพ้นไปแล้วและนึกสงสัยว่าจะยังมีโอกาสสำหรับตัวเขาเองหรือไม่ “ริค ดัลตันเป็นผลผลิตของยุค 50s เป็นพระเอกผู้เลิศหรูแห่งยุค 50s แต่ตอนนี้เป็นยุคใหม่แล้ว และรถไฟขบวนนี้ก็แล่นผ่านเขาไปแล้ว” ดิคาปริโอกล่าว “ในการร่วมงานกับเควนติน เราได้เห็นเรื่องราวของริค ดัลตันว่าเป็นการเดินทางของการขาดความมั่นใจอย่างมหาศาล การที่เขาไม่สามารถจะซาบซึ้งกับตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองและสิ่งที่เขาได้ครอบครองแล้ว เขามักจะโหยหาสิ่งที่มากกว่านี้เสมอ”

ผู้ที่อยู่เคียงข้างริคคือคลิฟฟ์ บูธ อดีตวีรบุรุษสงคราม ผู้ตอนนี้เป็นสตันท์ดับเบิลของริค ที่รับบทโดยแบรด พิตต์ ในตอนที่หน้าที่การงานของพวกเขาก้าวไปข้างหน้า ความลำบากของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้น สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปสำหรับทั้งคู่คือกันและกัน คลิฟฟ์พิสูจน์ให้เห็นถึงความภักดีที่เขามีต่อริคครั้งแล้วครั้งเล่าและในทางกลับกันก็เช่นกัน พวกเขาเป็นครอบครัวที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวที่กันและกันมี “ตัวละครของเราถูกสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงและสตันท์แมนครับ ในเวลานั้น การทำงานด้วยกันตลอดเป็นที่นิยมกว่าเยอะครับ” พิตต์กล่าว “เราพูดกันถึงสตีฟ แม็คควีนและบัด เอคินส์ ที่เป็นทีมที่แข็งแกร่งใน The Great Escape เราคุยกันถึงเบิร์ท เรย์โนลด์สและฮัล นี้ดแฮม จริงๆ แล้ว เราได้ไปคุยกับเบิร์ทถึงเรื่องนั้นด้วย ซึ่งทำให้เรามีความสุขมาก มันมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างทั้งคู่ ซึ่งปัจจุบันนี้ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยกว่าน่ะครับ คลิฟฟ์และริคพึ่งพากันจริงๆ หลายๆ ครั้ง ช่วงเวลาพักจะเป็นช่วงที่ลำบากกว่าเวลาทำงานจริงๆ ดังนั้น การมีเพื่อน การมีคู่หูก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด และมันก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดแม้กระทั่งในตอนนี้ด้วยครับ”

ผู้ที่ห้อมล้อมดิคาปริโอและพิตต์ในการเดินทางของริคและคลิฟฟ์คือส่วนผสมระหว่างตัวละครจริงและตัวละครสมมติที่รับบทโดยนักแสดงที่โด่งดังที่สุดในยุคปัจจุบันหลายคน โดยอัล ปาชิโนรับบทมาร์วิน ชวอร์ซ เอเจนท์ที่โฆษณาขายคุณงามความดีของภาพยนตร์เวสเทิร์นอิตาลี, เคิร์ท รัสเซล ในบทแรนดี้ ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์, ดาโกต้า แฟนนิงในบทสควีคกี้ สมาชิกครอบครัวแมนสันและมาร์โกต์ ร็อบบี้ในบทชารอน เทท หญิงสาวไร้เดียงสาผู้บังเอิญเป็นเพื่อนบ้านของริค เธอแต่งงานกับโรมัน โปแลนสกี้ ผู้ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Rosemary’s Baby ของเขาทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่ร้อนแรงที่สุด พวกเขาอยู่ในลิสต์งานปาร์ตี้ทุกงาน ใช้ชีวิตอย่างหฤหรรษ์

ร็อบบี้กล่าวว่า “ริค ดัลตันอาศัยอยู่ข้างบ้านของโรมันและชารอน และพวกเราก็อยู่ห่างกันเพียงเอื้อมมือ สิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่เขาคิดว่าเขาต้องการ วงในของฮอลลีวูด ความเลิศหรูทั้งหลายที่ตามมา อยู่ใกล้แต่ก็ห่างไกลเหลือเกินด้วยค่ะ”

สำหรับทารันติโน ตัวละครชุดนี้ไม่เพียงแต่มีเสน่ห์น่าหลงใหลในตัวมันเอง แต่มันยังน่าสนใจไม่แพ้กันเพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของชนชั้นสามระดับในฮอลลีวูด “ในเมืองแห่งนี้ คนพวกนี้สามารถคงอยู่ใกล้ชิดกันได้” ทารันติโนกล่าว “ไอเดียของการสำรวจยุคสมัยนั้น ยุคนั้นของลอสแองเจลิสและยุคนั้นของฮอลลีวูด ด้วยชนชั้นที่แตกต่างกันนี้ เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผมครับ”

สภาพแวดล้อมทางสังคมนี้ยังสะท้อนความรู้สึกส่วนตัวสำหรับทารันติโนด้วยเช่นกัน “ส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้เป็นความทรงจำของผมครับ” เขากล่าว “ผมใช้ชีวิตอยู่ในอัลฮัมบรา ภายในลอสแองเจลิสในปี 1969 ผมจำได้ว่าอะไรที่เข้าฉายในโรงหนัง อะไรที่ฉายทางโทรทัศน์ ทั้งเน็ตเวิร์คและท้องถิ่น ผมจำพิธีกรเด็กสมัยนั้นได้ ผมจำได้ว่าเซย์มัวร์เป็นขาประจำหนังสยองขวัญในตอนนั้น ผมจำได้ว่าคลื่นเคเอชเจเล่นอยู่ตลอดเวลา ผมจำได้ว่าคนฟังวิทยุในรถยังไง คุณจะไม่พกพามันไปไหนมาไหน แล้วเปิดหาเพลงนั้นเพลงนี้ คุณจะมีแค่สถานีเดียวที่คุณฟัง คุณจะเปิดเสียงดังลั่น และคุณก็จะไม่ลดเสียงลงในตอนที่โฆษณามาด้วย คุณก็แค่พูดกลบเสียงวิทยุ ความสนุกส่วนหนึ่งอยู่ที่การที่ผมต้องรื้อสมอง กระตุ้นความทรงจำ เพื่อรำลึกความหลังว่ามันเป็นยังไงบ้างน่ะครับ”

“นี่เป็นหนังที่โดดเด่นในบรรดาผลงานของเควนติน และมันก็เป็นหนังที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดของเขา” ผู้อำนวยการสร้างเดวิด เฮย์แมนกล่าว “ในแง่หนึ่ง เขากำลังมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่มีอิทธิพลต่อเขาและหนังที่เขารัก ยุคสมัยที่เขากำลังเติบโตขึ้นมาและสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมเขา มันเป็นจดหมายรักไปถึงฮอลลีวูดที่ล่วงเลยไปแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าบทหนังเรื่องนี้น่าประทับใจเหลือเกิน ใช่ครับมันตลก ใช่ครับมันน่าตื่นเต้น แต่โดยแก่นแท้แล้ว มันก็เป็นเรื่องราวที่นุ่มนวลจริงๆ เกี่ยวกับมิตรภาพครับ”

“ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษสุดเหลือเกินคือการได้ดูลีโอและแบรดประชันบทกันค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างแชนนอน แม็คอินทอช ผู้ร่วมงานกับทารันติโนมาก่อนในหลายๆ ตำแหน่งตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา กล่าว “พวกเขาต่างก็สวมบทตัวละครพวกนี้จริงๆ และเนรมิตชีวิตให้กับพวกเขาในแบบที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาเป็นครอบครัว มันโดนใจพวกเราที่เป็นคนรักในการทำหนังค่ะ เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นคือสิ่งที่พวกเรารักเกี่ยวกับมัน การร่วมงานกับคนพวกนี้และสานสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนตลอดชีวิตน่ะค่ะ”

ภาพยนตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบนั้นและโอกาสสำหรับการคัดเลือกนักแสดง “แบบบุชและซันแดนซ์” ในเรื่อง เป็นสิ่งที่หาได้ยากในระบบสมัยใหม่ และบททั้งสองก็จะต้องแข็งแกร่ง “ผมทดลองเรื่องราวที่แตกต่างออกไปสองสามเรื่อง แล้วผมก็ตัดสินใจไม่เอา ผมไม่อยากให้พวกเขาไปอยู่ในเส้นเรื่องแบบน้ำเน่าตามแบบฉบับ” ทารันติโนกล่าว “ผมอยากให้มันเป็นสามวันที่เต็มไปด้วยรายละเอียดในชีวิตของตัวละครพวกนี้ในขณะที่พวกเขาใช้ชีวิตในลอสแองเจลิสและความขัดแย้งของเรื่องราวที่สูงขึ้นทุกวันๆ จนไปถึงจุดหักเหน่ะครับ”

ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ปูเรื่องไปสู่จุดไคลแม็กซ์ที่น่าตื่นตะลึง ทีมผู้สร้างก็ได้ขอความร่วมมือจากสื่อที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ที่คานส์ให้หลีกเลี่ยงที่จะเปิดเผยรายละเอียดบางอย่าง โดยเฉพาะบทสรุปของเรื่อง ที่อาจทำลายอรรถรสการชมสำหรับผู้ชมในตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในเดือนกรกฎาคม การปกป้องประสบการณ์การชมภาพยนตร์โดยไม่ถูกเฉลยปมสำคัญสำหรับสาธารณชนทำให้ทีมผู้สร้างสามารถสนับสนุนเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ ต่อไปได้ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

 

ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เป็นนักแสดงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลห้าครั้ง) ผู้ได้รับการยกย่องจากผลงานของเขาในฐานะนักแสดง ผู้อำนวยการสร้างและนักเคลื่อนไหว

ล่าสุด เขาได้อำนวยการสร้างและนำแสดงในสารคดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเนชันแนล จีโอกราฟิกเรื่อง Before The Flood ซึ่งมียอดผู้ชมกว่า 60 ล้านคนทั่วโลก บทของดิคาปริโอใน The Revenant ที่กำกับโดยอเลฮันโดร กอนซาเลส อินาร์ริตู ทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (2016) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม รวมถึงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ดรามา, รางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

ก่อนหน้านี้ เขาได้ร่วมงานกับเน็ตฟลิกซ์เพื่อปล่อย Virunga สารคดีที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ ที่เล่าเรื่องของการอนุรักษ์กอริลลาในอุทยานแห่งชาติวิรันก้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ดิคาปริโอได้อำนวยการสร้างและนำแสดงใน The Wolf of Wall Street ที่กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ มิวสิคัลหรือคอเมดี รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อีกทั้งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากหน้าที่ของเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ก่อนหน้า The Wolf of Wall Street เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ยอดนิยมเรื่อง The Great Gatsby รวมถึง Django Unchained ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ในบทนำใน J. Edgar ภายใต้การกำกับของคลินท์ อีสต์วู้ด เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลคริติกส์ ชอยส์ และรางวัลแซ็ก อวอร์ดจากผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกเหนือจากนั้น เขายังได้แสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง Inception และดรามาทริลเลอร์เรื่อง Shutter Island ซึ่งเป็นการร่วมงานกันครั้งที่สี่ระหว่างเขากับผู้กำกับมาร์ติน สกอร์เซซี

ก่อนหน้าที่จะได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจาก The Wolf of Wall Street ดิคาปริโอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในปี 2007 จากการแสดงของเขาในดรามาโดยเอ็ดเวิร์ด ซวิคเรื่อง Blood Diamond นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลคริติกส์ ชอยส์และรางวัลแซ็ก อวอร์ดจากผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย ในปีเดียวกัน เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลบาฟตา อวอร์ด, รางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดและรางวัลแซ็ก อวอร์ดจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่อง The Departed ภายใต้การกำกับของสกอร์เซซี นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในฐานะนักแสดงคนหนึ่งของ The Departed อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์ชีวประวัติชื่อดังโดยสกอร์เซซีปี 2004 เรื่อง The Aviator การแสดงบทของโฮเวิร์ด ฮิวจ์ของดิคาปริโอในภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในดรามาและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคริติกส์ ชอยส์ และบาฟตา อวอร์ด นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลแซ็ก อวอร์ด จากสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในฐานะส่วนหนึ่งของทีมนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง The Aviator อีกด้วย นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว ดิคาปริโอยังได้เปิดตัวบริษัทโปรดักชันของตัวเองในชื่อ แอปเปี้ยน เวย์อีกด้วย ภายใต้แบนเนอร์แอปเปี้ยน เวย์ เขาได้เขียนบท อำนวยการสร้าง และให้เสียงบรรยายสารคดีธีมสิ่งแวดล้อมที่โด่งดังเรื่อง The 11th Hour ผลงานเรื่องอื่นๆ ของแอปเปี้ยน เวย์ รวมถึง Shutter Island และ The Aviator ที่กล่าวถึงมาแล้วข้างต้น รวมถึง The Ides of March, Red Riding Hood, Orphan, Public Enemies, Out of the Furnace ที่นำแสดงโดยคริสเตียน เบลและวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน, Runner, Runner ที่นำแสดงโดยจัสติน ทิมเบอร์เลคและเบน เอฟเฟล็คและภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายชื่อดังโดยเดนนิส เลอเฮนเรื่อง Live By Night ที่เขียนบท กำกับและนำแสดงโดยเบน เอฟเฟล็ค ผลงานล่าสุดของพวกเขา  Robin Hood: Origins โดยออตโต้ บาเธิร์สต์ มีกำหนดเข้าฉายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 

ดิคาปริโอเกิดในฮอลลีวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเริ่มแสดงตั้งแต่อายุ 14 ปี ผลงานการแจ้งเกิดของเขาคือภาพยนตร์ปี 1993 โดยไมเคิล เคตัน-โจนส์ ที่สร้างจากดรามาอัตชีวประวัติของโทเบียส วูลฟ์เรื่อง This Boy’s Life ในปีเดียวกัน เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยแลสซี ฮอลสตรอมเรื่อง What’s Eating Gilbert Grape ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำสำหรับการแสดงของเขาในบทชายหนุ่มผู้พิการทางสมอง นอกเหนือจากนั้น เขายังได้รับรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมและรางวัลนิว เจนเนเรชัน อวอร์ดจากเวทีสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิสจากผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย

ในปี 1995 ดิคาปริโอได้แสดงนำในภาพยนตร์สามเรื่องที่แตกต่างกันมากๆ เริ่มตั้งแต่ภาพยนตร์เวสเทิร์นโดยแซม ไรมีเรื่อง The Quick and the Dead นอกจากนี้ เขายังได้รับเสียงชื่นชมจากการแสดงของเขาในบทจิม แคร์รอล หนุ่มขี้ยาในดรามาบาดจิตใจเรื่อง The Basketball Diaries และจากการแสดงของเขาในบทนักกวีผู้มีความรักโดยไม่คำนึงถึงเพศสภาพ อาร์เธอร์ ริมบ็อดในภาพยนตร์โดยแอ็กเนียสก้า ฮอลแลนด์เรื่อง Total Eclipse ในปีถัดมา ดิคาปริโอได้แสดงในภาพยนตร์ร่วมสมัยโดยบาซ ลูห์แมนน์ที่สร้างจากเรื่อง Romeo + Juliet ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Marvin’s Room ซึ่งทำให้เขาร่วมได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมอีกด้วย

ในปี 1997 ดิคาปริโอได้แสดงประกบเคท วินสเล็ตในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Titanic ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำลายสถิติทุกอย่างในบ็อกซ์ออฟฟิศและคว้ารางวัลออสการ์มาได้ 11 สาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผลงานภาพยนตร์หลังจากนั้นของเขารวมถึงบทคู่ใน The Man in the Iron Mask; The Beach; ภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง Celebrity; ภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง Catch Me If You Can (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ); Gangs of New York (ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขากับผู้กำกับมาร์ติน สกอร์เซซี); ภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Body of Lies และภาพยนตร์โดยแซม เมนเดสเรื่อง Revolutionary Road ซึ่งทำให้ดิคาปริโอได้พบกับวินสเล็ตอีกครั้งและทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งที่เจ็ด

  ดิคาปริโอโด่งดังจากความทุ่มเทที่เขามีต่อสิ่งแวดล้อมในสเกลระดับโลก โดยเขาได้อำนวยการสร้างโปรเจ็กต์สร้างสรรค์ต่างๆ เช่นสารคดีเรื่อง The 11th Hour เป็นหัวหอกในการริเริ่มแคมเปญกระตุ้นการรับรู้ของสาธารณชนและเปิดตัวมูลนิธิลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ซึ่งบริจาคเงินกว่า 100 ล้านเหรียญให้กับการเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อมจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมงานกับเน็ตฟลิกซ์เพื่ออำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดรเอง Virunga ที่กำกับโดยออร์ลันโด้ วอน ไอน์ซีเดลอีกด้วย แอปเปี้ยนได้ร่วมมือกับเน็ตฟลิกซ์ในสารคดีเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง รวมถึงสารคดีชื่อดัง Struggle, The Ivory Game, How to Change the World, Catching the Sun และซีรีส์สารคดี “Fire Chasers” เมื่อปีที่ผ่านมา แอปเปี้ยนยังได้อำนวยการสร้างซีรีส์สารคดีชื่อดังเรื่อง “Frontiersmen” ที่เป็นซีเควลของ “Men Who Built America” สำหรับฮิสทอรี แชนแนลด้วย นอกจากนี้ แอปเปี้ยนก็ได้ร่วมมือกับเนชันแนล จีโอกราฟิกใน “Before the Flood” และ “Sea Of Shadows” ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในช่วงปลายปี 2019 อีกด้วย

ในเดือนกันยายน ปี 2014 ดิคาปริโอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ส่งสารสันติภาพของสหประชาชาติสำหรับการอุทิศยาวนานที่เขามีต่อการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ในเดือนเดียวกัน ดิคาปริโอก็ได้รับรางวัลคลินตัน โกลบอล ซิตีเซน อวอร์ด ได้มีส่วนร่วมในการเดินขบวนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ในนิวยอร์ก ซิตี้และได้พูดต่อหน้าที่ประชุมสหประชาชาติ เขาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสภาป้องกันทรัพยากรธรรมชาติและกองทุนนานาชาติเพื่อสวัสดิการสัตว์

ในเดือนมกราคม ปี 2016 ดิคาปริโอได้รับรางวัลคริสตัล อวอร์ดจากสภาเศรษฐกิจโลกจากผลงานของเขาในการดึงให้ทั่วโลกให้ความสนใจเร่งด่วนกับเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

 

แบรด พิตต์ หนึ่งในนักแสดงภาพยนตร์ที่แข็งแกร่งและมีความสามารถหลากหลายที่สุดในปัจจุบัน ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน ด้วยบริษัทแพลน บี เอนเตอร์เทนเมนต์ของเขา

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พิตต์ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในฐานะผู้อำนวยการสร้าง 12 Years a Slave ที่กำกับโดยสตีฟ แม็คควีน (ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับรางวัลออสการ์สำหรับมือเขียนบทจอห์น ริดลีย์และนักแสดงสมทบหญิงลูพิต้า นยองโกด้วย), เป็นหนึ่งในทีมงานเบื้องหลังห้าคนสำคัญของอีพิคสงครามโลกครั้งที่สองโดยเดวิด เอเยอร์เรื่อง Fury, นำแสดงและอำนวยการสร้าง By the Sea, รับบทสมทบใน The Big Short และรับบทนำใน War Machine คอเมดีเสียดสีกระตุ้นอารมณ์จากเดวิด มิค็อดสำหรับเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งเขาอำนวยการสร้างทั้งสองเรื่องด้วยแบนเนอร์แพลน บีของเขา ในปี 2016 พิตต์ได้แสดงประกบมาริยง คอติยาร์ดในภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต ซีเมคิสเรื่อง Allied หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยเจมส์ เกรย์เรื่อง Ad Astra

ในปี 2013 พิตต์ได้แสดงและอำนวยการสร้างหนึ่งในสิบภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของปีนั้น World War Z สำหรับพาราเมาท์ หลังจาก Z พิตต์ก็ได้รับบทสมทบในภาพยนตร์โดยคอร์แม็ค แม็คคาร์ธีย์เรื่อง The Counselor ที่กำกับโดยริดลีย์ สก็อตและภาพยนตร์โดยแอนดรูว์ โดมินิคเรื่อง Cogan’s Trade นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่พิตต์ได้แสดงและอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยโดมินิค เรื่องแรกคือ The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิส ในปี 2011 แบรดได้ส่งการแสดงที่ซับซ้อนที่สุดและเปี่ยมด้วยรายละเอียดมากที่สุดออกมาในภาพยนตร์โดยเบนเน็ตต์ มิลเลอร์เรื่อง Moneyball และภาพยนตร์โดยเทอร์เรนซ์ มาลิคเรื่อง Tree of Life ซึ่งเขาอำนวยการสร้างด้วย แบรดได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กและสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติจากบททั้งสอง นอกเหนือจากนั้น แบรดยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ด, รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลบาฟตา อวอร์ดและรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากผลงานของเขาใน Moneyball อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Tree of Life ได้รับรางวัลปาล์มทองคำจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในหลายปีก่อนหน้านั้น แบรดได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง The Curious Case of Benjamin Button และภาพยนตร์โดยเทอร์รี กิลเลียมเรื่อง Twelve Monkeys ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยเอ็ดเวิร์ด ซวิคเรื่อง Legends of the Fall และภาพยนตร์โดยอเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตูเรื่อง Babel อีกด้วย

ในปี 2009 พิตต์ได้แสดงในบทร้อยโทอัลโด้ เรนในภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง Inglorious Basterds และได้แสดงในทริลเลอร์คอเมดีโดยโจเอลและอีธาน โคเอนเรื่อง Burn After Reading นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบจอร์จ คลูนีย์ เพื่อนร่วมแสดงจาก Burn After Reading ของเขาในภาพยนตร์ยอดนิยมโดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง Ocean's Eleven, Ocean's Twelve และ Ocean's Thirteen อีกด้วย

การแสดงของเขาในภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Thelma and Louise คือสิ่งที่ทำให้เขาได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วประเทศเป็นครั้งแรก หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ดเรื่อง A River Runs Through It, ภาพยนตร์โดยโดมินิค ซีนาเรื่อง Kalifornia และภาพยนตร์โดยโทนี สก็อตเรื่อง True Romance นอกจากนี้ เขายังได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์สองเรื่องของเดวิด ฟินเชอร์ ได้แก่ Se7en และ Fight Club ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยดั๊ก ลีแมนเรื่อง Mr. and Mrs. Smith ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประจำปี 2005 และภาพยนตร์โดยกาย ริทชีเรื่อง Snatch

แพลน บี เอนเตอร์เทนเมนต์ของพิตต์รับผิดชอบการอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์และได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย รวมถึง The Departed, The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford, The Tree of Life, World War Z, 12 Years a Slave, The Normal Heart, Selma, ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2017 เรื่อง Moonlight ที่กำกับโดยแบร์รี เจนกินส์, The Big Short ที่กำกับโดยอดัม แม็คเคย์, Selma ที่กำกับโดยเอวา ดูเวอร์เนย์และภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2014 เรื่อง 12 Years a Slave ที่กำกับโดยสตีฟ แม็คควีน ผลงานสร้างเรื่องอื่นๆ เมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึง Okja ที่กำกับโดยบองจุนโฮ, The Lost City of Z ที่กำกับโดยเจมส์ เกรย์และภาพยนตร์โดยเดวิด มิค็อดเรื่อง War Machine ปัจจุบัน แพลน บีอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์โดยแบร์รี เจนกินส์เรื่อง If Beale Street Could Talk และภาพยนตร์โดยอดัม แม็คเคย์เรื่อง Cheney สำหรับแอนนาพูร์นา และในโปรเจ็กต์จอแก้วเรื่อง “Sweetbitter” สำหรับสตาร์ส นอกจากนี้ แพลน บียังอยู่ระหว่างการทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันของภาพยนตร์สองเรื่อง ได้แก่  Beautiful Boy ที่กำกับโดยเฟลิกซ์ แวน โกรเอนนินเกนและนำแสดงโดยสตีฟ คาเรลและทิโมธี ชาลาเม็ตและภาพยนตร์โดยเจมส์ เกรย์เรื่อง Ad Astra

 

มาร์โกต์ ร็อบบี้ เป็นนักแสดงหญิงมากพรสวรรค์ ผู้ร่ายเสน่ห์สะกดผู้ชมทั่วโลกด้วยการแสดงแจ้งเกิดประกบนักแสดงที่โด่งดังที่สุดในวงการภาพยนตร์หลายคน ร็อบบี้ ผู้พัฒนาผลงานตัวเองอยู่เรื่อยๆ ได้เนรมิตชีวิตให้กับเรื่องราวน่าติดตามด้วยการแสดงที่บ่งบอกถึงบทบาทที่ทรงพลังบนหน้าจอของเธอ

ล่าสุด เธอเพิ่งปิดกล้อง Birds of Prey (And the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn) สปินออฟของฮาร์ลีย์ ควินน์ เธออำนวยการสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้และวอร์เนอร์ บราเธอร์สก็มีกำหนดที่จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020

หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงในดรามาเกี่ยวกับวิกฤติพายุทรายยุค 30s โดยไมลส์ จอริส-เพย์ราฟฟิตต์เรื่อง Dreamland ซึ่งลัคกี้แช็ป เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันของเธอได้อำนวยการสร้างร่วมกับออโต้มาติค ร็อบบี้ได้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเล่าเรื่องของเด็กชายวัย 15 ปี ผู้มีชัยเหนือเอฟบีไอและตำรวจท้องถิ่นในการตามหาและจับตัวโจรปล้นธนาคารที่หลบหนี (ร็อบบี้) เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าเธอเป็นมากกว่าที่พวกเจ้าหน้าที่อ้างว่าเธอเป็น Dreamland เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกาในเดือนเมษายน ปี 2019

ในเดือนธันวาคม ปี 2019 มาร์โกต์จะได้แสดงในภาพยนตร์โดยโรเจอร์ ไอเลสประกบชาร์ลิซ เธอรอนและนิโคล คิดแมน ไลออนส์เกทวางแผนที่จะจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้

เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งได้แสดงในภาพยนตร์โดยโจซี โร้คเรื่อง Mary Queen of Scots ซึ่งจัดจำหน่ายโดยโฟกัส ฟีเจอร์สในวันที่ 7 ธันวาคม ปี 2018 เธอรับบทราชินีอลิซาเบธประกบเซียร์เซ โรนานในบทแมรี สจวร์ต โปรเจ็กต์โดยโฟกัส ฟีเจอร์สเรื่องนี้จะนำเสนอการเป็นปรปักษ์ในประวัติศาสตร์ระหว่างสองลูกพี่ลูกน้อง อลิซาเบธและแมรี ในตอนที่ฝ่ายหลังพยายามโค่นบัลลังก์อังกฤษของอลิซาเบธ เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็กและบาฟตาจากการแสดงของเธอ

ในปี 2018 มาร์โกต์ได้แสดงใน Terminal ภาพยนตร์ที่เธออำนวยการสร้างภายใต้แบนเนอร์ลัคกี้แช็ปของเธอ ซึ่งเข้าฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2018 นอกจากนี้ เธอยังได้พากย์เสียงภาพยนตร์ลูกผสมระหว่างไลฟ์แอ็กชันและอนิเมชันโดยโซนี พิคเจอร์สเรื่อง Peter Rabbit ซึ่งเข้าฉายในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี 2018 อีกด้วย

เมื่อเร็วๆ นี้ แมทเทลและวอร์เนอร์ บราเธอร์สได้ประกาศว่าร็อบบี้จะนำแสดงในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Barbie นอกจากนี้ เธอยังจะอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ภายใต้แบนเนอร์ลัคกี้แช็ปของเธอด้วย

ร็อบบี้นำแสดงใน I, Tonya ในบททอนยา ฮาร์ดิ้ง นางเอกของเรื่อง นอกจากนี้ เธอยังรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของเรื่องภายใต้ลัคกี้แช็ป เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันของเธอและได้รับการเสนอชื่อชิงางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ดจากการแสดงของเธออีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวอื้อฉาวของทอนยา ฮาร์ดิ้ง นักฟิกเกอร์ สเก็ตโอลิมปิคฤดูหนาวปี 1994 ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2017 และถูกจัดจำหน่ายโดยนีออนในวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2017

ในปี 2017 ร็อบบี้รับบทดาฟเนในภาพยนตร์โดยไซมอน เคอร์ติสเรื่อง Goodbye Christopher Robin ประกบดอมห์นัลล์ กลีสัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเอ.เอ. มิลเน (กลีสัน) ผู้สร้างตัวละครวินนี เดอะ พูห์และดาฟเน (ร็อบบี้) ภรรยาของเขา ฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์นำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 13 ตุลาคม ปี 2017

ร็อบบี้มีผลงานจอแก้วและจอเงินมากมายภายใต้แบนเนอร์ลัคกี้แช็ป เอนเตอร์เทนเมนต์ของเธอ ซึ่งทุกเรื่องล้วนแล้วแต่ตอบสนองเป้าหมายของเธอในการเล่าเรื่องราวที่มีตัวละครหญิงแกร่ง โดยสี่เรื่องที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ “Dollface (ทีวี)”, Barbed Wire Heart, Bad Monkeys และ The Paper Bag Princess “DollFace” กลายเป็นซีรีส์โดยฮูลูและปัจจุบันอยู่ระหว่างการถ่ายทำ

ล่าสุด ลัคกี้แช็ปได้ประกาศสร้างมิวสิคัลพีเรียดเรื่อง Big Gay Jamboree ซึ่งพวกเขาจะอำนวยการสร้างที่พาราเมาท์ มิวสิคัลเรื่องนี้เล่าเรื่องของหญิงสาวเฟอะฟะที่ทะลุมิติไปอยู่ในมิวสิคัลยุค 40s และต้องหาทางกลับมาสู่ยุคปัจจุบันให้ได้

Bad Monkeys ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันโดยแมทท์ รัฟฟ์ เล่าเรื่องของเจน ชาร์ล็อตต์ ผู้ลงเอยไปอยู่ในสถานกักกันของลาสเวกัส คลาร์ค เคาน์ตี้ หลังจากที่เธอถูกจับข้อหาฆาตกรรม เจนอ้างว่าเธอทำงานให้กับองค์กรลับ แผนกกำจัดบุคคลที่ไม่สามารถแก้ไขได้หรือ “แบด มังกี้ส์” ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สได้ซื้อสิทธิทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่องนี้มาเพื่อให้ดีแลน คลาร์คดัดแปลง โดยมีร็อบบี้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและโจซีย์ แม็คนามารารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง

ลัคกี้แช็ป เอนเตอร์เทนเมนต์กำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Fierce Kingdom ร่วมกับวอร์เนอร์ บรอส. และดิ โนวี พิคเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากนิยายทริลเลอร์โดยจิน ฟิลลิปส์เรื่อง Beautiful Things เล่าเรื่องของแม่และลูกชายที่ติดอยู่ในสวนสัตว์ระหว่างที่มีมือปืนออกอาละวาด

นอกเหนือจากนั้น ลัคกี้แช็ปยังจะอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Marian ร่วมกับโดนัลด์ เดอ ไลน์และเอมี ปาสคัล ร็อบบี้ถูกวางตัวให้นำแสดงในบท “เมด มาเรียน” ผู้รับหน้าที่นำประชาชนของเธอเข้าสู่สงครามครั้งสำคัญหลังจากที่โรบิน ฮู้ด คนรักของเธอ เสียชีวิตลง

สุดท้าย ลัคกี้แช็ปกำลังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Paper Bag Princess ร่วมกับบราวน์สโตน โปรดักชันส์ของอลิซาเบธ แบงค์, คลับเฮาส์ พิคเจอร์สของไบรอัน อันเคเลสและแดนน เครช โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สได้ซื้อสิทธิสำหรับหนังสือเบสต์เซลเลอร์สำหรับเด็กชื่อเดียวกันนี้

ร็อบี้ได้แสดงในภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Suicide Squad ในบท “ฮาร์ลีย์ ควินน์” ที่หลายคนหมายปอง ประกบจาเร็ด เลโต, วิล สมิธและวิโอลา เดวิส การแสดงในบทควินน์ของร็อบบี้เป็นครั้งแรกที่ตัวร้ายขวัญใจแฟนๆ จากหนังสือการ์ตูนตัวนี้ได้เผยโฉมบนจอเงิน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ภายใต้การกำกับของเดวิด เอเยอร์ เข้าฉายในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 2016 และปัจจุบัน ครองตำแหน่งภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดทั่วโลกเป็นอันดับเก้าในปี 2016 ด้วยรายได้กว่า 745.6 ล้าน

นอกจากนี้ เธอยังได้รับบทตัวละครคลาสสิกในตำนาน “เจน พอร์ตเตอร์” ในภาพยนตร์โดยเดวิด เยทส์ใน The Legend of Tarzan ประกบอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด, ซามวล แอล. แจ็คสันและคริสตอฟ วอลซ์อีกด้วย ภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยโดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2016 และทำรายได้มากกว่า 356.7 ล้านเหรียญทั่วโลก

การแสดงแจ้งเกิดของร็อบบี้คือในภาพยนตร์ปี 2013 โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง The Wolf of Wall Street ซึ่งเธอรับบทนางเอกประกบลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากอนุทินชื่อเดียวกันโดยจอร์แดน เบลฟอร์ท เล่าเรื่องราวของนักค้าหุ้นชาวนิวยอร์ก (ดิคาปริโอ) ผู้ติดคุก 20 ปีในข้อหาปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในคดีฉ้อโกงเรื่องหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันในวอลล์ สตรีท กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และการแทรกแซงของกลุ่มอาชญากรรม ร็อบบี้รับบทภรรรยาของดิคาปริโอในภาพยนตร์เรื่องนี้และได้ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงระดับแนวหน้า ซึ่งรวมถึงแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์, โจนาห์ ฮิล, ร็อบ ไรเนอร์, ฌอน ดูจาร์ดิน, จอน แฟฟโรว์และไคล์ แชนด์เลอร์

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึงภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Whiskey Tango Foxtrot ประกบทีนา เฟย์; ภาพยนตร์โดยโรดไซด์ แอทแทรคชันเรื่อง Z for Zachariah ประกบชิเวเทล เอจิโอโฟร์และคริส ไพน์; ภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส.เรื่อง Focus ประกบวิล สมิธ; Suite Française ประกบมิเชลล์ วิลเลียมส์, คริสเทน สก็อต โธมัสและแมทเธียส โชแนร์ทส์และ About Time ประกบราเชล แม็คอดัมส์และดอมห์นัลล์ กลีสัน 

ร็อบบี้ได้เปิดตัวในอเมริกาในซีรีส์ดังทางเอบีซีเรื่อง “Pan Am” ในปี 2011 ดรามาพีเรียดเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของนักบินและสจวร์ตสาวผู้เคยทำให้แพนแอมเป็นสายการบินที่หรูหราที่สุด ร็อบบี้รับบท ลอรา เจ้าสาวหนีงานแต่ง ผู้หนีชีวิตครอบครัวที่เบื่อหน่ายเพื่อโบยบินสู่ฟากฟ้า ซีรีส์นี้สร้างโดยแจ็ค ออร์มาน (“ER,” “Men of a Certain Age”) และนำแสดงโดยคริสตินา ริชชี

ในออสเตรเลีย ร็อบบี้เป็นที่จดจำสูงสุดจากบทดอนนา ฟรี้ดแมนในซีรีส์ “Neighbours” ซึ่งเล่าถึงชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในถนนแรมเซย์ในย่านอีรินส์โบโรห์ของออสเตรเลีย บทนี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลโลจี้ อวอร์ดสาขานักแสดงหญิงใหม่ยอดนิยมและนักแสดงนำหญิงยอดนิยม

ร็อบบี้เกิดในออสเตรเลีย เธอโตขึ้นมาในฝั่งโกลด์โคสต์และท้ายที่สุดก็ย้ายไปเมลเบิร์น ที่ซึ่งเธอเริ่มยึดอาชีพนักแสดงเมื่ออายุได้ 17 ปี ปัจจุบัน เธออาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส


 

ด้วยจินตนาการบรรเจิดและความมุ่งมั่นต่อการเล่าเรื่องราวที่สลับซับซ้อน เควนติน ทารันติโน (มือเขียนบท/ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง) ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในรุ่นของเขา

ภาพยนตร์โดยทารันติโนเรื่อง The Hateful Eight ได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลออสการ์เพียงหนึ่งเดียวของเอนนิโอ มอร์ริโคน ร่วมด้วยการที่ตัวนักประพันธ์เองได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ, บาฟตาและแอสแคพ ในขณะที่ทารันติโนได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาและลูกโลกทองคำจากบทภาพยนตร์ของเขา เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์ ก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและบาฟตาสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมและโรเบิร์ต ริชาร์ดสันก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากการกำกับภาพด้วยกล้องอัลตรา พานาวิชัน 70 ม.ม.ของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นำแสดงโดยซามวล แอล. แจ็คสัน, เคิร์ท รัสเซล, เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์, วอลตัน ก๊อกกินส์, เดเมียน เบเชียร์, ทิม ร็อธ, บรูซ เดิร์นและไมเคิล แมดสัน มีเรื่องราวเกิดในไวโอมิงในยุค 1870s ในตอนที่พายุหิมะโหมกระหน่ำโจมตีนักเดินทางแปดคนในรถม้า ผู้ตระหนักว่าบางทีพวกเขาอาจจะเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็เป็นได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวทั่วโลกในโรงภาพยนตร์ 100 แห่ง ที่ถูกปรับให้ฉายด้วยเครื่องฉายฟิล์มอนามอร์ฟิค 70 ม.ม. ที่ฉายแบบพิเศษ 182 นาที พร้อมทั้งการเบิกโรง การพักระหว่างกลางและสูจิบัตรโปรแกรม ล่าสุด เวอร์ชันขยายพิเศษสี่ตอนภายใต้การดูแลรักษาโดยทารันติโนก็ได้แพร่ภาพทางเน็ตฟลิกซ์

ทารันติโนได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่สองในสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Django Unchained ที่นำแสดงโดยเจมี ฟ็อกซ์, ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, คริสตอฟ วอลซ์ (ในบทบาทที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งที่สอง), ซามวล แอล. แจ็คสัน, เคอร์รี วอชิงตันและวอลตัน ก๊อกกินส์ Django Unchained ที่เรื่องราวเกิดขึ้นในแอนทีเบลลัม เซาธ์ เล่าเรื่องราวของทาสผู้เป็นอิสระ ที่ค้นหาภรรยาที่หายสาบสูญไปนานของเขา Django Unchained ได้รับการเสนอชื่อชิงห้ารางวัลลูกโลกทองคำ (โดยคว้ารางวัลมาได้สำหรับวอลซ์และทารันติโนในสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม), ห้ารางวัลบาฟตา (คว้ารางวัลมาได้สำหรับทารันติโนและวอลซ์อีกครั้งหนึ่ง และสำหรับมือลำดับภาพเฟร็ด รัสคินด้วย) และห้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ด รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Django Unchained ทำรายได้ไปกว่า 425 ล้านเหรียญทั่วโลก

Inglourious Basterds อีพิคสงครามโลกครั้งที่สองของทารันติโน ได้รวมทีมนักแสดงชื่อดังระดับโลก ซึ่งรวมถึงแบรด พิตต์, ไดแอน ครูเกอร์, ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์, เมลานีย์ โลรองท์, ทิล ชเวเกอร์, ไมค์ ไมเยอร์สและคริสตอฟ วอลซ์ ผู้ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากบทผู้พันฮันส์ แลนดา ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เข้าฉายสายประกวดที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประสบความสำเร็จทั้งเชิงคำวิจารณ์และรายได้ กวาดรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลบาฟตา, สี่รางวัลลูกโลกทองคำ และแปดรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและกำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก่อนหน้า Inglourious Basterds ทารันติโนได้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมด้วย Death Proof ที่นำแสดงโดยเคิร์ท รัสเซลและโซอี้ เบล Death Proof ที่จับคู่กับ Planet Terror ของโรเบิร์ต โรดริเกซกลายเป็นภาพยนตร์คู่เรียกว่า Grindhouse ได้เข้าฉายสายประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2007

ใน Kill Bill Vol. 1 และ Kill Bill Vol. 2โดยทารันติโน อูมา เธอร์แมน ในบท เดอะ ไบรด์ ได้ “ล้างแค้นอย่างวินาศสันตะโร” กับอดีตคนรักและเจ้านายของเธอ ที่รับบทโดยเดวิด คาร์ราดิน ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ถ่ายทำในจีน ญี่ปุ่น อเมริกาและเม็กซิโก ร่วมแสดงโดยลูซี หลิว, ดาริล ฮันนาห์, วิวิกา เอ. ฟ็อกซ์และไมเคิล แมดสันในบททีมมือสังหารของคาร์ราดิน

ทารันติโนได้เขียนบทและกำกับ Jackie Brown ภาพยนตร์อาชญากรรมที่นำเค้าโครงมาจากนิยายโดยเอลมอร์ เลียวนาร์ดเรื่อง Rum Punch ที่นำแสดงโดยแพม กรีเออร์, โรเบิร์ต ฟอร์สเตอร์, ซามวล แอล. แจ็คสัน, โรเบิร์ต เดอ นีโร, บริดเจ็ท ฟอนดาและไมเคิล คีย์ตัน กรีเออร์ได้รับการเสนอชิงรางวัลลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ดจากการแสดงนำของเธอ ฟอร์สเตอร์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมและแจ็คสันก็ได้รับรางวัลหมีเงินสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินจากการแสดงในบทออร์เดล ร็อบบี้

ทารันติโนได้ร่วมเขียนบท กำกับและนำแสดงใน Pulp Fiction ซึ่งได้รับรางวัลนักวิจารณ์มากมาย ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและรางวัลปาล์มทองคำจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1994 (ทารันติโนได้หวนคืนสู่คานส์ในอีกสิบปีให้หลังเพื่อรับหน้าที่ประธานผู้ตัดสิน) ดรามาที่มีเวลาบิดเบี้ยวเรื่องนี้นำแสดงโดยจอห์น ทราโวลตา, บรูซ วิลลิส, อูมา เธอร์แมน, ซามวล แอล. แจ็คสัน, ฮาร์วีย์ เคเทล, ทิม ร็อธ, อแมนดา พลัมเมอร์และคริสโตเฟอร์ วอลเคน ทารันติโนได้เขียนบท กำกับและนำแสดงใน Reservoir Dogs ซึ่งเปิดตัวอย่างงดงามในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพผู้กำกับของทารันติโน Reservoir Dogs ร่วมแสดงโดยทิม ร็อธ, ไมเคิล แมดสัน, คริส เพนน์, สตีฟ บุสเชมีและฮาร์วีย์ เคเทล

หลังจากความสำเร็จของ Reservoir Dogs บทภาพยนตร์ที่ทารันติโนได้เขียนระหว่างทำงานเป็นพนักงานร้านวิดีโอก็ได้รับความนิยมอย่างสูง โทนี สก็อตได้กำกับคริสเตียน สเลเตอร์และแพทริเซีย อาร์เควทท์ใน True Romance และโรเบิร์ต โรดริเกซก็กำกับจอร์จ คลูนีย์และซัลมา ฮาเย็คใน From Dusk Till Dawn นอกเหนือจากความร่วมมือระหว่างพวกเขาใน From Dusk Till Dawn และ Grindhouse ทารันติโนก็ได้ทำหน้าที่ผู้กำกับรับเชิญพิเศษของโรดริเกซใน Sin City ทารันติโนได้ร่วมงานกับโรดริเกซ, อัลลิสัน แอนเดอร์สและอเล็กซานเดร ร็อคเวลด้วยการกำกับ เขียนบทและควบคุมงานสร้างเซ็กเมนต์หนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Four Rooms ด้านจอแก้ว ทารันติโนได้กำกับตอนสุดท้ายของซีซันห้าของซีรีส์ “CSI” เอพิโซด “Grave Danger” ทำให้ทารันติโนได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขากำกับซีรีส์ดรามายอดเยี่ยม ทารันติโนได้กำกับงานโทรทัศน์ครั้งแรกในปี 1995 ด้วยเอพิโซดในดรามา “ER”

ผลงานที่หลากหลายของทารันติโนในฐานะผู้อำนวยการสร้างได้แสดงให้เห็นถึงทั้งความมุ่งมั่นที่เขามีต่อผู้กำกับหน้าใหม่และความสนับสนุนที่เขามีต่อเพื่อนร่วมงานผู้มีประสบการณ์ของเขา ทารันติโนได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยอีไล ร็อธเรื่อง Hostel และ Hostel: Part II, ภาพยนตร์โดยโรเจอร์ เอวารีเรื่อง Killing Zoe และภาพยนตร์โดยแคทรินา บรอนสันเรื่อง Daltry Calhoun และภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต โรดริเกซเรื่อง From Dusk Till Dawn เขาเป็นแฟนภาพยนตร์เอเชียตัวยง และเขาก็เป็นผู้นำเสนอภาพยนตร์โดยหยวนวูปิงเรื่อง Iron Monkey, ภาพยนตร์โดยจางอี้โหมวเรื่อง Hero และภาพยนตร์โดยอาร์ซาเรื่อง  The Man with the Iron Fists ให้กับผู้ชมชาวอเมริกันในปี 2001, 2004 และ 2012 ตามลำดับ

 

เดวิด เฮย์แมน (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Gravity ที่กำกับโดยอัลฟองโซ คัวรอน และนำแสดงโดยแซนดรา บุลล็อคและจอร์จ คลูนีย์ รวมถึงภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือโดยไมเคิล บอนด์เรื่อง Paddington และหนังสือเรื่อง Harry Potter ของเจ.เค. โรว์ลิง

ปัจจุบัน เฮย์แมนอยู่ระหว่างการทำงานในภาพยนตร์โดยโนอาห์ บอมบัคเรื่อง Marriage Story ที่นำแสดงโดยอดัม ไดรเวอร์, สการ์เล็ตต์ โยฮันสันและลอรา เดิร์นและ The Secret Garden ที่กำกับโดยมาร์ค มันเดน และนำแสดงโดยโคลิน เฟิร์ธและจูลี วอลเตอร์ส เขาอยู่ระหว่างการเตรียมงานสร้างภาคที่สามของแฟรนไชส์ Fantastic Beasts โดยเจ.เค. โรว์ลิง หลังจากที่อำนวยการสร้างสองภาคแรกมาแล้ว

ผลงานการอำนวยการสร้างของเขาได้แก่คอเมดีเรื่อง We’re the Millers ที่กำกับโดยรอว์สัน เธอร์เบอร์และนำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ อนิสตันและเจสัน ซูเดคิสและ Yes Man ที่กำกับโดยเพย์ตัน รี้ด และนำแสดงโดยจิม แคร์รีย์และโซอี้ เดสชาแนล, ทริลเลอร์ไซไฟโดยฟรานซิส ลอว์เรนซ์เรื่อง I Am Legend ที่นำแสดงโดยวิล สมิธ, ภาพยนตร์ที่สร้างจากอนุทินสงครามโลกครั้งที่หนึ่งของเวรา บริเทนเรื่อง Testament of Youth ที่นำแสดงโดยอลิเซีย วิคันเดอร์และคิท แฮร์ริงตันและภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์เรื่อง The Light Between Oceans ที่เขียนบทและกำกับโดยดีเร็ค เซียนฟรานซ์และนำแสดงโดยไมเคิล ฟาสเบนเดอร์, อลิเซีย วิคันเดอร์และราเชล ไวซ์, ดรามาเกี่ยวกับเหตุการณ์ล้างเผ่าพันธุ์โดยมาร์ค เฮอร์แมนเรื่อง The Boy in the Striped Pyjamas ที่นำแสดงโดยเวรา ฟาร์มิกาและเดวิด ธิวลิสและดรามาอินดีเรื่อง Is Anybody There? ที่กำกับโดยจอห์น โครว์ลีย์และนำแสดงโดยไมเคิล เคน ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้างของเขาคือ Juice ที่กำกับโดยเออร์เนสต์ ดิคเคอร์สันและนำแสดงโดยทูปัค, โอมาร์ เอพส์และซามวล แอล. แจ็คสัน

เฮย์แมนได้รับรางวัลผู้อำนวยการสร้างแห่งปีจากโชเวสต์ในปี 2003 กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างชาวอังกฤษคนแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ในปี 2011 ที่งานแสดงสินค้าซีเนยุโรป เขาได้รับการยกย่องให้เป็นผู้อำนวยการสร้างแห่งทศวรรษและปลายปีนั้น เขาและเจ.เค. โรว์ลิงก็ได้รับรางวัลบาฟตาสาขาคุณูปการต่อภาพยนตร์ดีเด่นหลังจากภาคสุดท้ายในแฟรนไชส์ Harry Potter

ในปี 2016 เขาได้รับรางวัลเดวิด โอ. เซลส์นิค อวอร์ดสำหรับความสำเร็จในอาชีพจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา

 

แชนนอน แม็คอินทอช (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อวงการบันเทิงมากว่าสองทศวรรษ  ในฐานะผู้อำนวยการสร้างคอนเทนท์อิสระที่ได้รับรางวัลในแพลทฟอร์มต่างๆ เธอกลายเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้ร่วมงานที่ได้รับความไว้วางใจสำหรับทั้งผู้กำกับหน้าใหม่และผู้กำกับที่โด่งดัง ก่อนหน้านี้ เธอได้ดูแลงานสร้าง งานโพสต์โปรดักชันและการจัดโปรแกรมให้กับทั้งวีนสไตน์ คัมปะนี (ทีดับบลิวซี) และมิราแมกซ์ ฟิล์มส์ 

ปัจจุบัน แม็คอินทอชอยู่ระหว่างการทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันของ The House Next Door เออร์เบินคอเมดีโดยดีออน เทย์เลอร์ ซึ่งเป็นซีเควลของ Meet The Blacks ที่นำแสดงโดยไมค์ เอพส์, สนูป ด็อกก์และแดนนี เทรโจ หลังจากนั้น เธอก็ถูกวางตัวให้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Eurydice ให้กับอเมซอน สตูดิโอส์ ภายใต้การกำกับของเบิร์ทและเบอร์ตี้ คู่หูเขียนบทและกำกับหญิง

ผลงานเมื่อเร็วๆ นี้รวมถึงภาพยนตร์โดยทารันติโนเรื่อง The Hateful Eight ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ทำให้เอนนิโอ มอร์ริโคนได้รับออสการ์ครั้งแรกในสาขาดนตรีประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์โดยเควิน สมิธเรื่อง Tusk และภาพยนตร์สำหรับครอบครัวช่วงคริสต์มาสเรื่อง Angels Sing ที่นำแสดงโดยแฮร์รี คอนนิค จูเนียร์และวิลลี เนลสัน เธอได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Django Unchained ด้วยการดูแลงานสร้างและงานโพสต์โปรดักชันให้กับเควนติน ทารันติโน แม็คอินทอชทำหน้าที่เดียวกันนี้ให้กับ Inglourious Basterds และภาพยนตร์โดยทารันตินโนและโรเบิร์ต โรดริเกซเรื่อง Grindhouse

ระหว่างทำงานที่ทีดับบลิวซีและมิราแม็กซ์ เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์คลาสสิกอมตะหลายเรื่องเช่น Life is Beautiful, The English Patient, Shakespeare In Love, Chicago, Chocolate, Il Postino (The Postman), The Reader และ The Artist ในการทำงานร่วมกับผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลหลายคน ที่นั่นเองที่เธอได้เริ่มร่วมงานกับผู้กำกับออเทอร์ เควนติน ทารันติโน นอกจากนี้ เธอยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับชื่อดัง โรเบิร์ต โรดริเกซในภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขารวมถึง Sin City, Spy Kids และภาพยนตร์ 3D ที่มีเทคโนโลยีแปลกใหม่เรื่อง The Adventures of Shark Boy and Lava Girl ในการทำงานที่มิราแมกซ์และทีดับบลิวซี เธอได้สร้างระบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่จัดการทุกขั้นตอนของงานภาพยนตร์ ตั้งแต่ขั้นตอนพัฒนาไปจนถึงการสร้างโฮม เอนเตอร์เทนเมนต์/ออน ดีมานด์ โดยแม็คอินทอชเป็นคนแรกที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแผนกที่ดูแลแต่ละโปรเจ็กต์อย่างลงรายละเอียดขนาดนี้

เธอและโจดี้ ราธ สามีของเธอกำลังเลี้ยงดูลูกๆ อยู่ในลอสแองเจลิสด้วยวิสลาส พอร์คช็อปและแอปเปิลซอส

ในตอนที่ไม่ได้ทำงานหรือวิ่งไล่ตามลูกๆ เธอก็ได้ร่วมงานกับมูลนิธิชาเลนจ์ แอทเธลีต ฟาวน์เดชัน ซึ่งมีพันธกิจในการช่วยเหลือผู้พิการทางกายภาพให้ปรับตัวเข้ากับกิจวัตรที่ใช้การเคลื่อนไหวมากกว่าเดิม เพื่อสนับสนุนความเคารพในตัวเองและการพึ่งพาตัวเองได้ นอกจากนั้น เธอยังเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของ Project Greenlight ซึ่งทำหน้าที่ฝึกสอนบรรดาผู้กำกับดาวรุ่งหน้าใหม่อีกด้วย

 

ประสบการณ์งานสร้างภาพยนตร์ของจอร์เจีย คาซันเดสเริ่มต้นขึ้นกับจอห์น เซย์เลส (Eight Men Out, City of Hope, Passion Fish), จิม จาร์มัสช์ (Mystery Train) และสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์ (King of the Hill, The Underneath)

เธอดำรงตำแหน่งผู้จัดการกองถ่ายและผู้ควบคุมงานสสร้างสำหรับมาร์ติน สกอร์เซซีในภาพยนตร์ที่โด่งดังที่สุดของเขาสามเรื่องได้แก่ Casino, Hugo และ The Wolf of Wall Street ปัจจุบัน เธออยู่ระหว่างการเตรียมงานภาพยนตร์เรื่อง Killers Of The Flower Moon โดยสกอร์เซซี

ล่าสุด เธอได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง The Hateful Eight

ผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ รวมถึง Syriana, Blow, Bad Teacher, Chasing Mavericks, CQ, Criminal, Tenacious D in the Pick of Destiny รรรวมถึงภาพยนตร์โดยเจมส์ แมนโกลด์เรื่อง Girl, Interrupted, ภาพยนตร์โดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง The Rainmaker และภาพยนตร์โดยแอนดรูว์ นิคโคลเรื่อง Gattaca

คาซันเดสได้ทำงานที่พาราเมาท์ พิคเจอร์สนานสี่ปี เริ่มจากตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายงานสร้างสำหรับพาราเมาท์ แวนเทจและตำแหน่งประธานฝ่ายงานสร้าง ระหว่างอยู่ที่นั่น เธอได้ดูแลงานสร้างภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง There Will Be Blood และ No Country for Old Men

 

หยูตง (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้ก่อตั้ง ผู้อำนวยการคณะกรรมการและซีอีโอของโบนา ฟิล์ม กรุ๊ป จำกัด ในฐานะหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในจีน หยูตงได้บริหารงานโบนา ฟิล์ม พร้อมไปกับดูแลงานสร้างภาพยนตร์ประมาณ 270 เรื่อง ซึ่งทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศไป 2 หมื่นล้านเหรียญก่อนที่บริษัทจะครบรอบ 20 ปี หยูสำเร็จการศึกษาจากสถาบันปักกิ่ง ฟิล์ม อคาเดมี เขาเป็นผู้กำกับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ และเขาก็เริ่มต้นสร้างบริษัทให้เป็นผู้จัดจำหน่ายเอกชนรายแรกในจีนและนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็คในปี 2010 ระหว่างช่วงเวลาการทำงานที่ยอดเยี่ยมสองทศวรรษ โบนาได้พัฒนากลายเป็นหนึ่งในบริษัทภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และยืนอยู่แถวหน้าของงานสร้าง จัดจำหน่ายและการฉายภาพยนตร์ ในฐานะหนึ่งในนักวิเคราะห์ตลาดภาพยนตร์จีนที่ได้รับความเคารพสูงสุด หยูได้รวบรวมพันธมิตรและผู้ถือหุ้นชั้นเลิศมากมายเช่น อาลีบาบา, เทนเซนต์, ซีควอและซิติก และได้บุกเบิกในการสร้างแนวใหม่ๆ ของภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เชิงพาณิชย์ของจีนด้วยรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ หยูได้นำไปสู่การลงทุนและการร่วมมือที่ประสบความสำเร็จกับฮอลลีวูด โดยล่าสุด เขาได้สนับสนุนภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง Once Upon a Time… in Hollywood และภาพยนตร์โดยโรแลนด์ เอ็มเมอริคเรื่อง Midway

 

เจฟฟรีย์ ชาน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ได้เข้าทำงานที่โบนา ฟิล์ม กรุ๊ป ผู้จัดจำหน่ายระดับแนวหน้าและสตูดิโอภาพยนตร์ที่ควบกิจการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำในจีนในปี 2008 ในตำแหน่งซีโอโอและสมาชิกคณะกรรมการในตอนที่บริษัทแห่งนี้ได้รับเงินลงทุนจากผู้ลงทุนในหุ้นเอกชนของสหรัฐฯ ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารกลุ่มและยังคงเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการของบริษัท

ในการทำงานกับโบนา ชานได้ดูแลงานสร้างและธุรกิจในต่างประเทศของบริษัท ซึ่งรวมถึงการลงทุน การร่วมสร้างและงานขาย เขาได้สนับสนุนการลงทุนของโบนาในโปรเจ็กต์ต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง Once Upon a Time… in Hollywood, ภาพยนตร์โดยโรแลนด์ เอ็มเมอริคเรื่อง Midway, ภาพยนตร์โดยเจมส์ เกรย์เรื่อง Ad Astra, ภาพยนตร์โดยอังลีเรื่อง Billy Lynn’s Long Halftime Walk และภาพยนตร์โดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง The Greatest Showman, X- Men Apocalypse, Alien: Covenant, Independence Day: Resurgence, Mrs. Peregrine’s Home for Peculiar Children, War for the Planet of the Apes และ The Martian

 

ก่อนหน้าที่จะเป็นผู้ร่วมงานขาประจำของผู้กำกับชื่อดังอย่างโอลิเวอร์ สโตนและเควนติน ทารันติโน ผู้กำกับภาพ โรเบิร์ต ริชาร์ดสัน, เอเอสซี (ผู้กำกับภาพ) ได้ฝึกงานด้วยการถ่ายทำยูนิทที่สองในภาพยนตร์เรื่อง Repo Man ระหว่างถ่ายทำสารคดีทางโทรทัศน์สำหรับพีบีเอสและบีบีซีไปด้วย

ผลงานจอแก้วของเขาทำให้โอลิเวอร์ สโตนเลือกริชาร์ดสันให้ถ่ายทำทั้ง Salvador และ Platoon ซึ่งทั้งสองเรื่องต้องอาศัยการถ่ายทำสไตล์ซีเนมา วาเรียเต้ ที่มีแต่ผู้กำกับภาพสารคดีเท่านั้นที่ทำได้ จากนั้น เขาก็ทำงานให้กับโอลิเวอร์ สโตนเป็นหลัก ด้วยการถ่ายทำ Wall Street , Born on the Fourth of July และ The Doors พร้อมไปกับการขยับขยายไปถ่ายทำภาพยนตร์อย่าง Eight Men Out และ City of Hope โดยจอห์น เซย์เลสเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ดี งานน่าทึ่งของเขาในการใช้ภาพสต็อกและกล้องต่างๆ ในการสร้างความรู้สึกแบบสารคดีให้กับ JFK คือสิ่งที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งแรก

ระหว่างที่เขาฝึกปรือสไตล์เคลื่อนไหวรวดเร็วของ JFK ใน Natural Born Killers, Nixon และ U-Turn ริชาร์ดสันก็กลายเป็นที่ต้องการตัวของบรรดาผู้กำกับฮอลลีวูดระดับแนวหน้าคนอื่นๆ เช่นเควนติน ทารันติโนและมาร์ติน สกอร์เซซี ผู้ซึ่งเลือกผู้กำกับภาพผู้นี้สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Bringing Out the Dead, Kill Bill, Vol. 1 และ Kill Bill, Vol. 2 ริชาร์ดสันได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่สองและสามจากการทำงานร่วมกับสกอร์เซซีใน The Aviator และ Hugo

ระหว่างที่เขายังสร้างผลกระทบทางประวัติศาสตร์ในฮอลลีวูดสำหรับโปรเจ็กต์ต่างๆ เช่นภาพยนตร์โดยทารันติโนเรื่อง Django Unchained และ The Hateful Eight รวมไปถึงภาพยนตร์โดยเบน เอฟเฟล็คเรื่อง Live By Night ไม่ต้องสงสัยเลยว่าริชาร์ดได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในผู้กำกับภาพที่ดีที่สุดเท่าที่ทำงานในฮอลลีวูดจนถึงปัจจุบันไปเรียบร้อยแล้ว

ในปีที่แล้ว ริชาร์ดสันยุ่งอยู่กับการถ่ายทำโปรเจ็กต์ต่างๆ เช่น Breathe สำหรับผู้กำกับแอนดี้ เซอร์คิส ที่นำแสดงโดยแอนดรูว์ การ์ฟิลด์และแคลร์ ฟอย, Adrift สำหรับผู้กำกับบัลธาซาร์ คอร์มาคูร์ ที่นำแสดงโดยชาลีน วู้ดลีย์และแซม คลาฟินสำหรับเอสทีเอ็กซ์และ A Private War สำหรับผู้กำกับแมทธิว ไฮน์แมน ที่นำแสดงโดยโรซามุนด์ ไพค์ในบทมารี โคลวิน

 

บาร์บารา หลิง (ผู้ออกแบบงานสร้าง) เริ่มต้นทำงานในแวดวงละครเวที และเธอก็ได้ออกแบบฉากและแสงให้กับละครเวที โอเปราและมิวสิคัลกว่า 200 เรื่องในลอสแองเจลิสและนิวยอร์ก

ผลงานที่โดดเด่นส่วนหนึ่งของเธอรวมถึงละครบรอดเวย์เรื่อง “Two By South” โดยโรเบิร์ต อัลท์แมน, “Pee Wee Herman Show” ออริจินอลที่ร็อกซี (และเป็นรายการพิเศษของเอชบีโอด้วย) และ “Women Behind Bars” โดยทอม เอเยนที่ร็อกซี

ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของบาร์บาราในฐานะผู้ออกแบบงานสร้างคือภาพยนตร์อินดีที่สร้างสรรค์และประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง True Stories สำหรับผู้กำกับเดวิด เบิร์น นี่เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเดวิด เบิร์นอีกด้วย และพวกเขาก็ยังคงสานต่อการร่วมมือที่พิเศษสุดนี้เมื่อเขาขอให้เธอออกแบบทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกของเขา “Rei Mono” ด้วย

ความคิดสร้างสรรค์ที่พิเศษสุดและความสามารถของเธอในการบันทึกและถ่ายทอดคุณสมบัติที่โดดเด่นของวัฒนธรรมและตัวละครผ่านทางการออกแบบของเธอได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วและไม่นานนัก เธอก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบงานสร้างที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในวงการภาพยนตร์

บาร์บาราได้สร้างผลงานที่หลากหลายและยอดเยี่ยมมากมายและเธอก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของวงการหลายคน รวมถึงไดแอน คีย์ตัน (Heaven), พอล บริคแมน (Men Don’t Leave), โอลิเวอร์ สโตน (The Doors), จอห์น แอฟเน็ต (Fried Green Tomatoes At the Whistle Stop Café), โจเอล ชูมัคเกอร์ (Falling Down, Batman Forever, Batman & Robin), ซิดนีย์ พอลล็อค (Random Hearts) และสก็อต ฮิคส์ (Hearts in Atlantis, No Reservations, The Lucky One และ Fallen)

นอกจากนี้ บาร์บารายังมีผลงานโฆษณาทางโทรทัศน์มากมายและได้ออกแบบสปอตโฆษณากว่า 100 ชิ้น ซึ่งหลายชิ้นได้รับรางวัลด้วย

ผลงานที่โดดเด่นส่วนหนึ่งของเธอรวมถึงแคมเปญ “PBS Fish” ที่ได้รับรางวัลกับผู้กำกับอัลฟองโซ คัวรอน, แคมเปญ “Guinness” ที่กำกับโดยแอนโธนี มิงเกลลา, “Victoria’s Secret” และ “Pepsi Cola/Pepsi One” กับผู้กำกับไมเคิล เบย์, “United Airlines” และ “Budweiser” กับผู้กำกับ/ผู้กำกับภาพโรเบิร์ต ริชาร์ดสัน และสปอตอื่นๆ กับผู้กำกับมาร์ค ฟอร์สเตอร์ รวมถึงสปอต “Julius Baer”

 

เฟร็ด รัสคิน (มือลำดับภาพ) สำเร็จการศึกษาจากทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เขาเริ่มต้นทำงานในห้องลำดับภาพในตำแหน่งผู้ช่วยมือลำดับภาพของดีแลน ทิชเนอร์ (Boogie Nights) และแซลลี เมนเก้ (Kill Bill) ก่อนที่จะรับหน้าที่มือลำดับภาพเสริมในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีปี 2002 ของพอล โธมัส แอนเดอร์สันเรื่อง Punch-Drunk Love หลังจากนั้น เขาก็รับหน้าที่มือลำดับภาพเสริมในภาพยนตร์อาชญากรรมไฮสคูลปี 2003 โดยจัสติน ลินเรื่อง Better Luck Tomorrow ก่อนที่จะไปลำดับภาพให้กับภาพยนตร์อีกสี่เรื่องของลินได้แก่ Annapolis, The Fast and Furious: Tokyo Drift, Fast & Furious และ Fast Five ผลงานการลำดับภาพเรื่องอื่นๆ เมื่อเร็วๆ นี้ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง Django Unchained (ซึ่งทำให้รัสคินได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา) และ The Hateful Eight, ภาพยนตร์โดยเอส. เคร็ก ซาห์เลอร์เรื่อง Bone Tomahawk, ภาพยนตร์โดยเจมส์ กันน์เรื่อง Guardians of the Galaxy และ Guardians of the Galaxy Vol. 2 และภาพยนตร์โดยอีไล ร็อธเรื่อง The House with a Clock in Its Walls

 

เอเรียนน์ ฟิลลิปส์ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เป็นหนึ่งในผู้ทำงานสร้างสรรค์ที่โดดเด่นที่สุดในวงการแฟชันและบันเทิง ในฐานะศิลปินวิชวลหลากมิติ เธอได้นำวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นของเธอมาใช้กับภาพยนตร์ แฟชัน ละครเวที โอเปรา ดนตรีและสื่อ

ผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายของฟิลลิปส์ ผู้โด่งดังจากการออกแบบที่แปลกใหม่ของเธอ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สำหรับภาพยนตร์โดยจิม แมนโกลด์เรื่อง Walk the Line และภาพยนตร์โดยมาดอนนาเรื่อง W.E. เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีจากมิวสิคัลบรอดเวย์เรื่อง “Hedwig and the Angry Inch” และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาจาก “A Single Man” โดยทอม ฟอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงเจ็ดรางวัลสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย และคว้ารางวัลมาได้สำหรับ W.E.

ผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่นของเธอยังรวมถึงภาพยนตร์โดยทอม ฟอร์ดเรื่อง Nocturnal Animals, ภาพยนตร์โดยแมทธิว วอห์นเรื่อง Kingsman: The Secret Service และ Kingsman: The Golden Circle, ภาพยนตร์โดยจิม แมนโกลด์เรื่อง 3:10 To Yuma, Girl, Interrupted, ภาพยนตร์โดยมาร์ค โรมาเน็คเรื่อง One Hour Photo และภาพยนตร์ชื่อดังโดยไมลอส ฟอร์แมนเรื่อง The People vs. Larry Flynt

ในปี 2018 เอเรียนน์ได้เปิดตัวผลงานโอเปราของเธอด้วยการออกแบบโอเปราโดยนิโก้ มัลฮายเรื่อง “Marnie” ที่เดอะ เมโทรโพลิแทน โอเปราในนิวยอร์กและดิ อิงค์ลิช เนชันแนล โอเปราในกรุงลอนดอน

ตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปี เอเรียนน์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับมาดอนนาในโปรเจ็กต์สร้างสรรค์ต่างๆ รวมถึงมิวสิควิดีโอ หน้าปกอัลบัม การถ่ายภาพ การแสดงพิเศษและได้ออกแบบชุดให้กับเธอในการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกหกครั้งล่าสุด

ผลงานที่โด่งดังในสื่อต่างๆ ของเธอทำให้เธอโดดเด่นจากเพื่อนร่วมวงการในฐานะผู้สร้างรสนิยมและผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เธอยังคงท้าทายตัวเองด้วยการรับงานโปรเจ็กต์ที่สำรวจการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ของเธอ มิวเซีย ปราด้าเลือกเอเรียนน์สำหรับโปรเจ็กต์ “Iconoclasts" ในการดูแลงานศิลปะจัดวางสำหรับร้านค้าปลีกของแบรนด์ในลอนดอนและปักกิ่งและเพื่อผลิตภาพยนตร์แฟชันขนาดสั้นสำหรับแบรนด์ ที่เอเรียนน์ได้เขียนบทและกำกับในชื่อ Passages ด้วย อเลสซานโดร มิเกเล เพื่อนของเธอ ผู้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของกุชชี ได้เลือกเธอให้สร้างคอนเทนท์พิเศษสำหรับนิตยสารเอ ที่เขาเป็นบรรณาธิการรับเชิญ และเพื่อออกแบบภาพยนตร์แบรนด์ ที่นำแสดงโดยเจียคอปโปลา นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมงานในโปรเจ็กต์พิเศษกับแวน คลีฟ แอนด์ อาร์เพลส์, คาร์เทียร์, วาเลนติโนและชวารอฟสกี้อีกด้วย ล่าสุด เอเรียนน์เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของกลุ่ม TIME’S UP และได้รับการร้องขอจากรีส วิทเธอร์สปูนให้ออกแบบโลโก้ที่โด่งดังในตอนนี้

ผลงานของเอเรียนน์ที่ผ่านมามีการออกแบบที่หลากหลาย ทำให้เธอสามารถถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ของเธอผ่านทางแนวทางต่างๆ ได้

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X