บ่มรัก 10 ปี “ตรี-เบิ่ง” ฉลองแต่งเรียบง่าย เผยสินสอดไม่เวอร์!
2014-08-29 23:25:46
Advertisement
คลิก!!!

“ตรี นันทรัตน์” ชื่นมื่น ฉลองสมรส “เบิ่ง” เผยสินสอดไม่เวอร์ เงินสด 4 แสน ทอง 20 บาท แหวนเพชรพองาม ตรีมั่นใจสามีเลิกเจ้าชู้ ดูแลตนได้ตลอดชีวิต รับประทับใจฝ่ายชายทำอาหารเก่ง ด้านเบิ่งบอกผ่านอุปสรรคด้วยกันมาเยอะแถมหวิดไม่ได้แต่งงาน เชื่อคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน สุดนอยด์ไม่หล่อแถมแก่ ชมตรีเป็นแม่ที่ดีของลูกได้ ตั้งเป้า 2 ปีมีลูกสาว


       
       


       
       เป็นคู่บ่าวสาวป้ายแดงไปอีกคู่สำหรับดาราสาว “ตรี นันทรัตน์ เชาวราษฎร์” และ “เบิ่ง ทวีศักดิ์ อัครวงศ์” หนุ่มดุริยางค์หลวง ที่ฟูมฟักความรักกันมากว่า 10 ปี จนวันนี้ก็ได้ฤกษ์เข้าประตูวิวาห์อย่างเป็นทางการ โดยมีการจัดพิธีแห่ขันหมากตอนเช้าวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ที่บ้านย่านบางใหญ่ ซึ่งทั้งคู่ใช้เป็นเรือนหอ ต่อด้วยพิธีฉลองมงคลสมรสในช่วงเย็น ณ นันทอุทยานสโมสร ซึ่งแม้อายุจะห่างกันถึง 12 ปี ก็ดูจะไร้ปัญหา เพราะทั้งคู่ถือว่ารักครั้งนี้เป็นเหมือนพรหมลิขิต
       
       ตรี : “วันนี้ก็เป็นวันดีและเป็นวันสำคัญของเราสองคนค่ะ ก็รู้สึกตื่นเต้นนะคะ (หัวเราะ) ตื่นเต้นงานกลางคืนมากกว่าตอนเช้าอีกสำหรับหนูนะ”
       
       เบิ่ง : “คือเราไปดูฤกษ์กัน พระท่านก็บอกว่าวันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของปีนี้สำหรับเราสองคน และผมก็เรียนเกี่ยวกับดนตรีไทยมา วันพฤหัสบดีก็จะถือว่าเป็นวันครู แล้วก็บังเอิญว่าทุกอย่างมาเกี่ยวกับวันพฤหัสบดีหมดเลย ผมเกิดวันพฤหัสบดี เข้ารับพระราชทานน้ำสังข์จาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร วันพฤหัสบดี วันแต่งก็ตรงกับวันพฤหัสบดีวันที่ 28 อีก มันอาจจะเป็นเลขนำโชคก็ได้ (ยิ้ม) พิธีตอนเช้าก็แห่ขันหมากทั่วไปครับ แต่ว่าจะไม่มีรดน้ำสังข์ เพราะว่าพระบรมท่านทรงพระราชทานน้ำสังข์ให้ ก็มีตักบาตร แห่ขันหมาก แล้วก็รับไหว้ สวมแหวนครับ”
       
       ตรี : “ตอนนี้เสียงไม่ค่อยมีแล้ว (หัวเราะ) เพราะเมื่อคืนได้นอนแค่ครึ่งชั่วโมง (หัวเราะ) เตรียมงานอยู่ที่บ้านค่ะ เราก็ทำกันเองสองคน การเตรียมงานทุกอย่างเราทำกันเองหมดเลย”
       
       เบิ่ง : “การ์ดเราก็พิมพ์กันเอง ส่วนใหญ่การ์ดของผมจะเป็นการเขียน เพราะเห็นผู้ใหญ่บอกว่าการเขียนด้วยลายมือของคนที่จะแต่งงานมันก็เหมือนเป็นการให้เกียรติคนที่เราจะเอาการ์ดไปให้ เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ เพราะบางทีการแจกการ์ด ถ้าเราเอาไปแจกผู้ใหญ่เราจะไปฝากใครก็ไม่ได้ ถ้าเราฝากไปมันเหมือนไม่ให้เกียรติท่านน่ะครับ”
       
       ตรี : “เราก็ตื่นกันแต่เช้าเลยค่ะเพื่อไปแจกการ์ด พอบ่ายตรีก็ต้องไปอ่านข่าวที่ช่องนิวส์ ทีวี พอเสร็จประมาณสองทุ่มครึ่งก็ไปแจกการ์ดต่อ (หัวเราะ) มันก็เลยส่งผลให้ไม่สบายกันทั้งคู่”
       
       เบิ่ง : “คือเวลาไม่ตรงกัน จริงๆ ก็ไม่ได้เสียใจนะ แต่แค่รู้สึกว่าตั้งนานก็ไม่เป็นนะตาอักเสบเนี่ย แล้วอยู่ดีๆ ก็มาเป็นเอาวันสำคัญของผม วันที่จะแต่งงาน เพิ่งเริ่มเป็นเมื่อวานก่อนวันแต่งวันเดียว พอไปหาหมอเขาก็บอกว่าเกิดจากฝุ่นละออง แล้วเราไม่ได้พักผ่อนด้วยครับ จริงๆ ผมก็พยายามจะใส่แว่นนะ แต่ก็กลัวเดี๋ยวคนจะมองว่าเราไม่ให้เกียรติ ไม่รู้จักกาละเทศะ เพราะตอนพิธีเช้าผมก็โดนว่าไปแล้ว เพราะผมใส่แว่นแล้วใส่ชุดข้าราชการ ก็โดนว่าไป (หัวเราะ)”
       
       ตรี : “แต่เมื่อวานเสียงหนูก็ยังปกตินะ เพิ่งมาเป็นตอนเช้าวันนี้เองค่ะ เสียงหายไปเลย (หัวเราะ) คือด้วยความที่เราเตรียมเองทุกอย่าง ธีมงานก็คิดเอง หนูเป็นคนชอบสีพาสเทล ก็เลยเอาธีมงานเป็นสีพาสเทลแล้วกัน ใครมีสีอะไรที่สะดวกก็สามารถใส่ได้”
       
       เผยสินสอดแค่พองาม เพราะไม่ต้องการให้ไปกู้หนี้ยืมสินจนต้องมาใช้หนี้ร่วมกัน
       เบิ่ง : “สินสอดก็ไม่เท่าไหร่ครับ 4 กับ 2 (หัวเราะ) ไม่ใช่ 4 ล้าน นั่นผมต้องขายที่นาผมเลยนะ แล้วผมยังต้องขายวัวอีกนะนั่น คือเงินสด 400,000 บาท กับทอง 20 บาทครับ แล้วก็มีแหวนเพชรนิดหน่อยครับ เอาแค่พอสวยงาม เรือนหอก็เป็นที่จัดพิธีเมื่อเช้าครับ อยู่แถวบางใหญ่”
       
       ตรี : “แม่หนูก็ไม่ได้ต้องการเรียกเงินมากมายค่ะ เพราะถ้าเรียกไปเยอะแล้วเขาต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา พอเราแต่งงานกันก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน สู้เอาง่ายๆ พอเป็นพิธี ไม่ได้ต้องการให้เงินเยอะจะได้มีหน้ามีตาไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ส่วนแหวนก็เอาไปสลักเป็นนามสกุลไว้ข้างหลัง ก็จดทะเบียนแล้วเรียบร้อย ตอนนี้ในบัตรประชาชนก็จะเป็นนามสกุลพี่เบิ่ง แต่ในวงการก็ยังเป็นชื่อนามสกุลเดิมค่ะ ยังใช้นางสาวด้วย (ยิ้ม)”
       
       เบิ่ง : “แต่เมื่อเช้ากว่าผมจะเข้าถึงตัวเขาได้หลายประตูมากครับ ล็อกตั้งแต่ประตูรั้วบ้านเลย พอเข้าไปแล้วเขายังไปแอบหลังม่านอีก ผมก็หาไม่เจอ ก็หมดไปเยอะครับ (หัวเราะ)
       
       เผยพบรักกันวันไหว้ครูที่ศูนย์วัฒนธรรม บอกเป็นความบังเอิญสุดๆ
       ตรี : “ก็เป็น 10 ปีที่รู้จักกันค่ะ แต่คบกันก็ประมาณ 8-9 ปี
       
       เบิ่ง : “ตอนนั้นผมรับราชการอยู่ที่กรมศิลปากรครับ หรือที่คนรู้จักกันในชื่อโรงละครแห่งชาติ ส่วนตรีเขาก็ไปเรียนรำอยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรม ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จักเขาหรอกว่าเป็นใคร แล้วก็มีครูคนหนึ่งที่ศูนย์วัฒนธรรมเขาสอนปี่อยู่เขาก็มาบอกผมว่าตรีเขาเป็นดารานะ นามสกุลเดียวกับคุณเพชรา เชาวราษฏร์ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะไปงานก็เจอกันประจำ แต่ไม่ได้สนใจกันเลย จนมีอยู่วันหนึ่งไปไหว้ครูที่ศูนย์วัฒนธรรมผมไปบรรเลงระนาด”
       
       ตรี : “หนูเรียนรำอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว และเรียนจะเข้ด้วย หนูก็เลยเอาจะเข้ของหนูไปเข้าพิธีครอบครูของดนตรีไทยซึ่งงานอยู่ที่หอประชุดใหญ่ แต่ตัวหนูไปรำอยู่ที่หอประชุมเล็ก พอเสร็จพิธีหนูก็จะมาเอาจะเข้าตัวเองกลับบ้าน แต่มาเจอพี่เขานั่งดีดจะเข้อยู่”
       
       เบิ่ง : “ผมเห็นว่ามันเสร็จงานแล้ว ผมก็ดีดไปเรื่อย จนเขามาบอกว่าครูคะ ขอจะเข้คืนหน่อย ตอนนั้นเราก็รู้จักเขาอยู่แล้วล่ะ แต่ยังไม่เคยคุยกัน ก็เลยลองขอเบอร์เขา จากนั้นก็คุยกันมาเรื่อย”
       
       ตรี :เมื่อก่อนหนูเรียกพี่เขาว่าคุณครูนะ (หัวเราะ) แล้วหนูก็ให้เบอร์ไปเพราะรู้สึกว่าเขาเป็นครู ก็สามารถให้เบอร์ได้ เพราะว่าคุณครูท่านอื่นๆ ที่มาสอนก็ใส่เสื้อตากรมศิลปากรเหมือนกัน เราก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรก็เลยให้ไป แล้วก็เพิ่งมารู้ว่าพี่เขาไม่ใช่ครูก็ตอนหลังๆ เลยตอนที่พี่เขาบอกว่าเรียกพี่ก็ได้ (หัวเราะ)”
       
       เบิ่ง : “แต่อายุก็ห่างกันพอสมควร รอบหนึ่งพอดีครับ”
       
       ตรี : “12 ปีค่ะ ปีมะเส็งกับปีมะเส็งเหมือนกัน แต่หนูประทับใจพี่เขาก็ตรงที่เขาดูแลหนูได้ และที่สำคัญคือเขาทำอาหารอร่อยมากเลย (หัวเราะ) เพราะหนูเป็นคนทำอาหารไม่เก่งค่ะ แล้วเขาก็จะดูแลใส่ใจ คอยให้กินผักเพราะหนูไม่ค่อยชอบกินผัก เขารู้ใจหนูไปหมดเลยว่าหนูชอบกินอันนี้ ไม่ชอบอันนี้ อย่างล่าสุดที่พี่เขาไปยุโรปมาก็ซื้อกระติกน้ำที่มันสามารถกรองในตัวมาให้ แล้วก็มีเสาวรสสดๆ มาให้ อะไรที่หนูชอบเขาก็จะซื้อมาไว้ให้บนโต๊ะอาหารเลย แต่เขาไม่ได้บอกก่อนนะคะ พอหนูกลับบ้านมาก็เจออยู่บนโต๊ะแล้ว (ยิ้ม)”
       
       รับเมื่อก่อนฝ่ายชายเจ้าชู้ แต่เดี๋ยวนี้เลิกเด็ดขาดแล้ว
       เบิ่ง : “สัญญาใจเหรอครับ คือเราคบกันมาก็นานนะ แต่ก่อนหน้านั้นผมก็อาจจะมีแฟนมาบ้าง แต่เราก็เคลียร์ทุกอย่างและเราก็อายุเยอะแล้ว ส่วนเขาเองสำหรับผู้หญิงผมก็คิดว่าน่าจะกึ่งกลางที่พอจะมีอายุแล้วก็เลยตัดสินใจแต่งงาน เริ่มคิด เริ่มวางแผน แต่วิธีการขอแต่งงานของผมจะไม่ใช่แนวคิขุ ไม่ได้มีอะไรมาเซอร์ไพรส์ ไม่มีคุกเข่าขอแต่งงาน ผมก็คุยตรงๆ เลยว่าเราก็คบกันมานานแล้วนะ พ่อตรีเขาก็เสียตั้งแต่เด็ก เวลาเขาไปไหนก็จะไปกับแม่เขาตลอด เราก็อยากดูแลเขา แต่บางทีงานผมก็เยอะ บางทีเวลาเขาไปไหนเราก็จะคอยถามว่าถึงไหนแล้ว ไปถูกไหม จนผมก็มั่นใจว่าเขาน่าจะเป็นแม่ที่ดีของลูกเราได้ ก็เลยตัดสินใจว่าแต่งงานกันดีกว่า เพราะ 9 ปีผมว่าก็นานพอสมควรนะครับ และผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับทราบ”
       
       ตรี : “เมื่อก่อนเขาอาจจะเคยเจ้าชู้นะคะ แต่หนูก็ถือว่ามันเป็นอดีต ตั้งแต่เขาคบกับหนูถึงเขาจะเคยเจ้าชู้ก็จริง แต่เขาก็ค่อยๆ ปรับตัว แล้วหลังๆ หนูก็ไม่เห็นอีกเลย ยิ่งจะแต่งงานเขายิ่งทำให้เห็น เขาพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่มีใคร เขาสามารถเคลียร์ทุกอย่างได้จริงๆ”
       
       เบิ่ง : “อย่างเมื่อก่อนพวกโซเชียลต่างๆ อย่างไลน์ เฟซบุ๊กผมจะไม่ให้เขายุ่งกับโทรศัพท์ผมเลย แต่ว่าเดี๋ยวนี้ผมวางพาสเวิร์ดไว้ให้เลย อยากดูๆ ไปเลย”
       
       ตรี : “แต่หนูเคยฝันนะ ฝันแม่นด้วย หนูว่าเห็นกิ๊กพี่เบิ่ง 2 คนและชื่อก็ตรงเป๊ะเลย (หัวเราะ) สมมติหนูฝันว่าหนูกับเบิ่งไปเที่ยวสวนสนุกกัน แล้วพี่เบิ่งก็ไปเรียกชื่อผู้หญิงคนนี้ พอหนูตื่นมาเราก็คุยกันปกติไม่มีเรื่องระแคะระคายอะไรเลย พอผ่านไปสักประมาณ 6-7 เดือนก็เพิ่งมารู้ว่ามันมีจริงๆ และชื่อก็ตรงกับที่หนูฝันจริงๆ (หัวเราะ) พอเรื่องมันผ่านไปเราก็มานั่งคุยกัน เขาก็อึ้งนะ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ เดี๋ยวนี้น่ารัก ไว้ใจได้ (ยิ้ม)”
       
       เผยผ่านอุปสรรคกันมาเยอะจนเกือบไม่ได้มีงานวิวาห์อย่างวันนี้
       เบิ่ง : “แต่ก็ผ่านอุปสรรคกันมาเยอะครับ โดยเฉพาะของผมนะ คือมันมีช่วงที่เกือบจะตัดสินใจอะไรไปแล้ว คือพอเราจะตัดสินใจจะใช้ชีวิตกับใครสักคน แล้วโดนตอบกลับมาแบบเจ็บปวดมาก มันอึ้งนะ มันไม่น่าเป็นแบบนี้ คือไม่ได้ว่าผู้หญิงนะครับ แต่ถ้าผู้ชายบางคนเจอแบบนี้มันก็ตกใจเหมือนกัน แต่ผมก็คิดง่ายๆ ว่าเราไม่ได้เป็นคู่กัน อาจจะไม่ได้ทำบุญร่วมชาติมา แต่พอเราได้มาแต่งงานกันแบบนี้ก็คงเป็นเนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน”
       
       ตรี : “แล้วเราสองคนไม่น่าจะมาเจอกันได้นะ อายุก็ห่างกันมาก แล้วหนูก็ไม่ได้เป็นเด็กวิทยาลัยนาฏศิลป์ คือเป็นเด็กนาฏศิลป์ก็จริง แต่ไม่ได้เรียนสายตรงอย่างพี่เบิ่ง แต่ถ้าเป็นเด็กวิทยาลัยนาฏศิลป์เขาก็จะได้พบปะ ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน แต่หนูเรียนสายสามัญมา มันยากมาก”
       
       เบิ่ง : “อายุมันก็เป็นอุปสรรคในช่วงแรกๆ นะครับ เรารู้อยู่แล้วว่าเขาอายุน้อยกว่ารอบหนึ่ง ความคิดเขาก็จะออกเด็กๆ แต่ผมไม่ค่อยได้เอาใจเขามากนะ ผมจะเป็นคนพูดตรงๆ มีอะไรก็พูดเลย ไม่ชอบอะไรก็พูดเลย ถ้ามีอะไรที่ความเห็นไม่ตรงกันก็ต้องคุยกันด้วยเหตุผล แต่ถ้าผมไม่ผิดแล้วต้องให้ผมไปง้อ ผมบอกเลยว่าผมไม่ง้อ เพราะเราอยากให้เขาเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนที่มีเหตุผล”
       
       “อีกอย่างคือเขาก็เป็นดาราถึงจะมีผลงานไม่มากก็เถอะ แล้วเราก็เป็นแค่นักดนตรีธรรมดา รับราชการอยู่กรมศิลป์ บางทีก็เคยคิดน้อยใจตัวเองว่ามันก็ต้องมีคนคุยกันบ้างแหละเวลาไปไหนกับเขา แบบดูสิแฟนอย่างสวยเลย แต่ผู้ชายโคตรแก่เลย ผมคิดนะ หรือบางทีเขามีงานเปิดตัวหนังผมก็ไม่กล้าไป อย่างมากผมก็ขับรถไปส่งแล้วก็ขับรถกลับเท่านั้นเอง บางทีผมก็เกรงใจเขา แต่ไม่ใช่ว่าผมอายที่เป็นแฟนเขานะ แต่เราก็อยากจะให้เกียรติเขา เพราะเขาเป็นดาราบางทีการจะมากับใครหรือคนที่เป็นแฟนมันก็อาจะต้องหล่อ รวย ขาว ผมนี่ตัดทิ้งไปเลย คล้ำมาก่อนเลย แก่อีก ผมก็คิดมากนะ”
       
       ตรี : “เขาชอบคิดมากค่ะ หนูไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย เราก็อยากให้เขาไปเป็นเพื่อนบ้าง แต่ก็ไปแอบหลบมุม หลบหลังเสาตลอด ก็ต้องปรับกันค่ะ แต่อย่างแรกคือหนูเปลี่ยนการแต่งตัวของเขาก่อน (หัวเราะ) เพราะสมัยคบกันแรกๆ พี่เบิ่งแต่งตัวเช้ย เชย แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว เมื่อก่อนจะชอบใส่กางเกงขาบานๆ แต่งตัวแบบคนทำงานมาก พอหนูเจอกางเกงสวยๆ ก็ซื้อไปให้เขาใส่ หลังๆ เขาก็เริ่มชอบ เริ่มใส่กางเกงขาตรง แต่ไม่ถึงกับเดฟนะคะ แล้วก็ใส่เสื้อเชิ้ตมีลายที่มันเป็นวัยรุ่นหน่อย”
       
       เบิ่ง : “บางทีเขาก็ซื้อเสื้อสีเขียว สีฟ้ามาให้ผม ผมก็นึกในใจนะว่ากรุณาดูสีผิวผมหน่อยได้ไหม ถ้าเป็นสีแดงผมเป็นกาคาบพริกเลยนะ โห ไม่ไหว”
       
       บอกวางแผนอีกสองปีมีลูก ขอเวลาปั้มเงินเตรียมความพร้อมก่อน
       เบิ่ง : “เรื่องทายาทก็วางแผนกันไว้ครับ คงอีกสัก 2 ปีครับ ขอเก็บตังค์ก่อนครับ คืออยากให้เขาเกิดมาแล้วมีพร้อมทุกอย่างครับ ไม่ใช่เกิดมาแล้วต้องหาโน่นหานี่ให้เขา ตอนนั้นผมก็ยังไม่ถึง 40 นะ (ยิ้ม)”
       
       ตรี : “ครอบครัวไม่ได้เร่งค่ะ เพราะคุณแม่มีหลาน 2-3 คนแล้ว แต่ใจหนูอยากได้ผู้หญิง เพราะหนูมีแต่หลานผู้ชาย บ้านหนูหาผู้หญิงยากมาก หนูอยากได้ผู้หญิงเพราะจะได้อ้อนพ่อให้กลับบ้านเร็วๆ (หัวเราะ)”
       
       เบิ่ง : “ผมก็อยากได้ผู้หญิงครับ ก็คิดว่าสัก 2 คน หญิงคน ชายคน”
       
       ตรี : “งานในวงการตอนนี้ก็ยังมีถ่ายละครอยู่เลยค่ะ อีก 2 ปีค่อยว่ากัน แต่ก็คงไม่ถึงกับออกไปเป็นแม่บ้านหรอกค่ะ เพราะหนูอยู่เฉยๆ แล้วจะเบื่อ ชอบออกไปทำงาน มันได้เจอคน ได้เจอเพื่อน ได้เจอพี่ๆ ในกองมันสนุก อยู่บ้านคนเดียวไม่ได้หรอก”
       
       เบิ่ง : “ผมก็แล้วแต่เขาครับ ใจจริงๆ ก็อยากให้เขาอยู่ในวงการ แต่ในความเห็นของผมในแวดวงบันเทิงมันก็ต้องมีขึ้นมีลงนะ ก็ต้องมีคลื่นลูกใหม่ขึ้นมา ก็อยากจะให้เขามีงานที่มั่นคง อาจจะไม่ใช่เป็นงานที่รับราชการ ทำอะไรก็ได้ที่มันมั่นคง แต่ก็แล้วแต่เขาครับ ส่วนแพลนฮันนีมูนมีครับ แต่ผมค่อนข้างงานเยอะ งานราชการบางทีก็ต้องออกต่างจังหวัดตลอด ไปต่างประเทศก็มี ก็เลยยังไม่ได้กำหนดว่าจะได้ไปเมื่อไหร่ ต้องรอทั้งสองคนว่างพร้อมกันก่อน และที่สำคัญก็ต้องมีตังค์ครับ”
       
       ตรี : “หนูอยากไปอเมริกา เพราะมีวีซ่าอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเสียตังค์ทำใหม่ (หัวเราะ) และพี่เบิ่งมีเพื่อนอยู่ที่นั่นค่ะ ก็จะสะดวกเรื่องมีคนแนะนำสถานที่ พาไปเที่ยว แล้วก็แนะนำที่พัก แต่ตอนนี้หนูก็ยังต้องถ่ายละครอยู่ ก็คงต้องรอเวลาว่างก่อนค่ะ”
 

บ่มรัก 10 ปี “ตรี-เบิ่ง” ฉลองแต่งเรียบง่าย เผยสินสอดไม่เวอร์!
       
 
บ่มรัก 10 ปี “ตรี-เบิ่ง” ฉลองแต่งเรียบง่าย เผยสินสอดไม่เวอร์!
       

http://www.manager.co.th

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X