Review: War Horse
2012-05-10 22:36:38
Advertisement
คลิก!!!

War Horse เป็นเรื่องราวมิตรภาพของเด็กหนุ่มกับม้าตัวหนึ่ง รวมกับการผจญภัยของม้าตัวนี้ท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่พาคนดูไปพบผู้คนหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับสงครามและได้เป็นผู้ดูแลมัน ก่อนที่มันกับเด็กหนุ่มจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ถ้าเนื้อเรื่องนี้เป็นการศึกที่ต้องฝ่าฟันแล้วล่ะก็ มันก็ศึกที่แม่ทัพผู้กำกับอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก ชำนาญการและผ่านศึกมานักต่อนัก เพราะสปีลเบิร์กทำหนังว่าด้วยมิตรภาพของเด็กชายผู้โดดเดี่ยว การก้าวข้ามวัย และมิตรภาพของเด็กชายกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ มาอย่างโชกโชน ไม่เพียงแค่นั้น สปีลเบิร์กยังขนขุนศึกคู่ใจระดับพระกาฬมามากมายเพื่อช่วยรบครั้งนี้ เพื่อสร้างให้หนังออกมายิ่งใหญ่และงดงามมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่มือเขียนบทที่เก่งอย่างลี ฮอลล์ (Billy Elliot), ผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์ยานุสซ์ คามินสกี (Saving Private Ryan), ผู้ออกแบบงานสร้างรางวัลออสการ์ ริค คาร์เตอร์ (Avatar) และผู้ประพันธ์ดนตรีที่มีรางวัลออสการ์มากมายอย่างจอห์น วิลเลียมส์ (Schindler’s List) หนังอย่าง War Horse จึงดูรบชนะได้ไม่ยากสำหรับสปีลเบิร์ก แต่กลายเป็นว่าเป็นการชนะศึกอย่างไม่สวยงามเท่าไหร่ ภาพที่เห็นบนจอดูมหากาพย์ และชวนมองอย่างมาก แต่หนังไม่อาจทำให้เราอิ่มเอมด้านอารมณ์ได้เต็มที่ มันดูเหมือนสปีลเบิร์กพยายามมากไปในการแสดงแสงยานุภาพด้านงานศิลป์กับเทคนิคเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้ชม แต่ยังวางตำแหน่งของฉากอารมณ์ได้ยังไม่ลงตัว ทำให้ความประทับใจของหนังเน้นหนักไปที่งานสร้างมากกว่าความซาบซึ้ง

ก่อนหน้าที่ War Horse จะถูกสร้างเป็นหนังมาก่อน บทประพันธ์ดั้งเดิมที่เป็นนิยายสำหรับเด็กปี 1982 ของไมเคิล มอร์เพอร์โกเรื่องนี้เคยถูกดัดแปลงเป็นละครเวทีมาก่อน เปิดแสดงครั้งแรกที่ลอนดอนในปี 2007 ซึ่งฉบับละครเวทีนี้ได้สร้างความประทับใจให้แคธลีน เคนเนดี้ ผู้อำนวยการสร้างหญิงคู่บุญของสปีลเบิร์ก จนทำให้เธอแนะนำให้สปีลเบิร์กให้มาดูละคร และซื้อนิยายไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เนื้อเรื่องของหนังคล้ายกับ Black Beauty ของแอนนา ซีเวลล์ ที่เคยถูกสร้างหนังปี 1944 ตรงที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนหลากหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตม้าตัวหนึ่ง แต่ใน War Horse เน้นไปที่ชีวิตของทหารและผู้คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แทน

หนังเปิดฉากด้วยความผูกพันแต่แรกเห็นของเด็กหนุ่มชาวไร่ยากจนเชื้อสายไอริชชื่ออัลเบิร์ต (เจเรมี เออร์วีน) ที่มีต่อลูกม้าชื่อโจอี้ตั้งแต่ตอนที่มันคลอดออกมา เมื่อมันโตพอที่จะถูกนำออกมาประมูลขายได้ เท็ด (ปีเตอร์ มุลแลน) พ่อขี้เหล้าหัวรั้นของอัลเบิร์ตได้ประมูลมาด้วยราคาแสนแพงเพราะอยากเอาชนะเจ้าของที่ดิน (เดวิด ธิวลิส) ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะใช้งาน อัลเบิร์ตใช้ความรักซื้อใจโจอี้และฝึกมันเป็นม้าที่ใช้งานไถนาได้สำเร็จ เอาชนะคำดูถูกของชาวบ้านได้ มิตรภาพของทั้งคู่ก็แน่นแฟ้นขึ้นด้วย แต่ก็ต้องถูกทดสอบในที่สุดเมื่อเท็ดจำเป็นต้องขายมันให้แก่กองทัพเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ จากนั้นแก่นของเรื่องราวมิตรภาพของคนกับม้าก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสายตาของม้าแทน

เมื่อมาอยู่ในกองทัพ โจอี้พบรักกับม้าสีนิลดำและถูกส่งผ่านผู้คนมากมายที่ได้เป็นเจ้าของและผู้ดูแลมัน ตั้งแต่นายทหารอังกฤษผู้กล้าหาญ แต่อ่อนโยน (ทอม ฮิดเดิลสตัน), กุทเธอร์ (เดวิด ครอส) ทหารผู้ดูแลม้าของกองทัพเยอรมันที่ใช้มันหนีทหาร, คุณปู่ชาวฝรั่งเศสนักทำแยม (นีลส์ แอเรสทรัป) ผู้บอกเล่าเรื่องราวอีกแง่มุมของความกล้าหาญ กับหลานสาววัยใส (ซีลีน บัคเคนส์) ที่ร่วมมือกันช่วยชีวิตโจอี้กับม้าสีดำ จากนั้นก็พวกมันก็ถูกทหารเยอรมันเอากลับไปใช้งานลากปืนใหญ่อีกครั้ง ต้องผจญภัยอยู่ท่ามกลางสงครามของมนุษย์และพยายามเอาตัวรอด จนในที่สุดทำให้โจอี้ติดอยู่ในลวดหนามกึ่งกลางของสนามเพลาะระหว่างฝั่งอังกฤษและเยอรมัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็มีทหารผู้รักม้าพยายามหาทางช่วยชีวิตโจอี้ คล้ายกับเพื่อบอกเราว่าถ้าไม่ใช่เพราะสงคราม ทหารสองคนนี้ก็คงได้เป็นเพื่อนกัน สุดท้ายโจอี้ก็ได้กลับไปพบอัลเบิร์ตในที่สุดซึ่งบัดนี้ได้สมัครมาเป็นทหารเพื่อออกตามหาโจอี้

ช่วงต้นเรื่องของหนังนั้น หนังมีจุดที่พีคของอารมณ์อันเกี่ยวข้องกับการร่วมแรงร่วมใจของอัลเบิร์ตกับโจอี้ในการเอาชนะอุปสรรคใหญ่หลวงที่ไม่มีใครคิดว่าทั้งคู่จะทำได้ ดูสนุกเต็มอิ่มในเนื้อเรื่องส่วนนี้คล้ายดูหนังมิตรภาพระหว่างคนกับสัตว์ของดิสนี่ย์ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นสงคราม หนังเริ่มมีเรื่องราวที่น่ากลัวและตื่นเต้นขึ้น สปีลเบิร์กใช้งานภาพในสไตล์หนังฮอลลีวู้ดยุคเก่าเช่น The Searcher ของจอห์น ฟอร์ด หรือ Lawrence of Arabia ของเดวิด ลีน ที่ให้ทัศนียภาพเป็นพื้นหลังของฉากแล้วให้ตัวละครเป็นลวดลายบนภาพ มาเสริมความโก้หรูให้แก่หนัง โทนสีของหนังเข้มหรือมืดเมื่ออยู่ท่ามกลางสมรภูมิ แล้วสลับเป็นความสว่างสดใสเมื่อส่วนของเรื่องราวนั้นไม่เกี่ยวกับสงครามแล้ว ก่อนที่จะจบด้วยฉากเส้นขอบฟ้าสีแสดของพระอาทิตย์อัสดงที่ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง Gone with the Wind

แต่ละส่วนของเนื้อเรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวละครใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของโจอี้มีเรื่องราวของมันเอง มีความงดงามของมันเอง มีอารมณ์ที่เข้มข้นของมันเอง ใช้การกำกับภาพ กำกับศิลป์ และดนตรีประกอบที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่อนำทุกส่วนมาประกอบกันเป็นองค์รวมแล้ว มันไม่อาจส่งเสริมให้กันและกันให้เกิดความงามที่ลงตัวได้ มันเหมือนแต่ละส่วนเหล่านี้มาแข่งกันด้วยอารมณ์ของหนังที่แตกต่างกันแบบค่อนข้างชัดเจน เหมือนคนที่แต่งตัวจัด พยายามให้ดูดีเด่นและดูดีไปหมดตั้งแต่หมวกยันร้องเท้าแล้วหาส่วนที่ต้องการจะเน้นไม่พบ และการที่หนังแทบจะละทิ้งอัลเบิร์ตไปเลยระหว่างที่โจอี้อยู่ในการดูแลของตัวละครอื่นก็ยังทำให้การพบกันอีกครั้งของทั้งคู่ในตอนท้ายเรื่องขาดพลังแม้จะพยายามเค้นยังไงก็ตาม สุดท้ายแล้ว War Horse จึงเป็นเพียงหนังที่งานสร้างดูดีมาก แต่ยังทำให้เราซาบซึ้งได้ไม่เต็มที่

คะแนน: 7/10

ข้อมูลเบื้องต้น
ชื่อไทย: ม้าศึกจารึกโลก
กำหนดฉาย: 2 กุมภาพันธ์ 2555
ผู้กำกับ: สตีเวน สปีลเบิร์ก
นักแสดง: เจเรมี เออร์วีน, ปีเตอร์ มุลแลน, เอมิลี่ วัตสัน, ทอม ฮิดเดลสตัน, เดวิด ธิวลิส, นีลส์ แอเรสทรัป และ เดวิด ครอส
เว็บไซต์ทางการ: http://www.warhorsemovie.com/

onlyfans leaked xxx onlyfans leaked videos xnxx 2022 filme porno filme porno
.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X