รวม 15 หนังสุดประทับใจแห่งปี ที่คอหนังดูแล้วอยากกลับมาดูอีก!
2015-05-04 14:10:47
Advertisement
คลิก!!!

         เชื่อว่าคนรักหนังหลายๆ คน ต้องเคยประทับใจหนังบางเรื่อง ถึงขนาดต้องกลับไปดูมากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งบางเรื่องก็สามารถดูได้หลายรอบ โดยที่ไม่เบื่อ ขนาดบางเรื่องออกจากภาพยนตร์แล้วยังตามมาซื้อเป็น DVD มาดู เรียกว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ตัวจริง

         ซึ่งหนังบางเรื่องหากอยากกลับมาดูอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนสมัยก่อน เพราะยุคนี้คนส่วนใหญ่มักดูหนังผ่านระบบออนไลน์เพราะสะดวกรวดเร็ว และราคาประหยัดอีกด้วย

         เราเลยขอรวบรวม 15 หนังสุดประทับใจที่ดูแล้วอยากกลับมาดูอีกครั้ง 

 

  

 

เราลองไปดูกันว่าจะมีเรื่องไหนถูกใจคุณกันบ้าง

 

1. The Theory Of Everything

         The Theory of Everything เป็นงานที่ดัดแปลงมาจากนิยายแนวบันทึกของ “เจน ฮอว์คิง” ภรรยาของสตีเฟ่น ฮอว์คิง เรื่อง TRAVELING TO INFINITY (สู่อนันตกาล) บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ฮอว์คิงยังเป็นหนุ่มนักศึกษาในรั้วเคมบริดจ์

         เป็นหนังรัก ที่เล่าเรื่องราวของสตีเฟน กับเจน ไวลด์ ภรรยาคนแรกของเขา ทั้งคู่พบรักกันตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ จนเมื่อสตีเฟนค้นพบอาการป่วยของตนเอง เจนกลับไม่ยอมไปไหน เธอแต่งงานกับเขา และร่วมสร้างชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ขึ้นมา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อสมาชิกหลักของครอบครัวไม่ใช่คนที่สมบูรณ์ทางร่างกาย ชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์จึงกลายเป็นเรื่องยาก

         ชีวิตและผลงานของสตีเฟน ฮอว์กิ้ง เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว หนังจึงเล่าเรื่องในมุมมองของเจนผู้เป็นภรรยาให้มากขึ้น เพื่อตอกย้ำในความรักของคนทั้งคู่ เพราะเจนคือคนที่ต้องแบกรับปัญหาของครอบครัวไว้ หนังไม่ได้สร้างความจงใจในแบบเมโลดราม่าบีบน้ำตาคนดูทั้งที่เรื่องเอื้อให้ทำเช่นนั้นได้ แต่หนังกลับเล่าเรื่องที่ดูจริงจังมากขึ้น ให้เห็นถึงการประคับประคองชีวิตคู่มากกว่า นับว่าเป็นหนังรักโรแมนติคดราม่าอีกเรื่องที่ดูแล้วกินใจแถมอยากกลับมาดูอีกครั้ง

 

2. Boyhood

         มากันที่หนังสุดประทับใจอีกเรื่อง อย่าง BOYHOOD ที่ใช้กระบวนการถ่ายทำ เป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ของวงการภาพยนตร์ ผลงานล่าสุดของริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ หลังจากเสร็จสิ้นจากงานสร้างภาพยนตร์ไตรภาคสุดคลาสสิก Before Sunrise, Before Sunset และ Before Midnight ซึ่งภาพยนตร์เรื่องหลังสุดได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับภาพยนตร์อีกเรื่องที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางของกาลเวลา Boyhood เป็นภาพยนตร์ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ เป็นอีกหนึ่งโปรเจคท์ที่ไม่เหมือนภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ โดยใช้เวลาถ่ายทำในช่วงเวลา 12 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปี 2013 โดยที่ลิงค์เลเตอร์ พร้อมด้วยทีมงานและนักแสดงของเขาจะกลับมาเจอกันเพียงไม่กี่วันในทุกปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการติดตามเรื่องราวชีวิตของเด็กชายชาวออสติน เมสัน (เอลลาร์ โคลเทรน) ซาแมนธา พี่สาวของเขา (ลอเรไล ลิงค์เลเตอร์) และโอลิเวีย แม่ของพวกเขา (แพทริเซีย อาร์เควทท์) ท่ามกลางกระแสขึ้นลงของชีวิตรอบตัวพวกเขา และยังมี เมสัน ซีเนียร์ (อีธาน ฮอว์ค) พ่อของเด็ก ๆ ที่เข้า ๆ ออก ๆ ชีวิตของพวกเขาอีกด้วย

         เรียกได้ว่าเป็น บ้าบิ่นเลยทีเดียว โดยเรื่องนี้ ผู้กำกับเลือกจะใช้กลวิธีทาบทามนักแสดงและทีมงานชุดหนึ่งที่มีโอกาสร่วมงานกันได้ โดยทุกๆหนึ่งปีพวกเขาก็จะกลับมารวมตัวกันเพื่อถ่ายทำหนังเป็นเวลาประมาณ 3-4 วัน แน่นอนว่ามันไม่มีหลักประกันใดเลยที่จะการันตีได้ว่า ทีมงานทั้งหมดในเรื่องนี้ พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างตลอด 12 ปี ทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่สามารถพยากรณ์ความผันแปรต่างๆได้เลย แถมหนังก็จบได้ดีเลยทีเดียว

 

3. Into the Woods

         จากละครบรอดเวย์ของ สตีเฟ่น ซอนด์ไฮม์ ที่ถูกดัดแปลงมาจากนิทานเทพนิยายของสองพี่น้องตระกูลกริมม์ สู่ภาพยนตร์ มิวสิคัลแฟนตาซี ที่มากด้วยอารมณ์ขันจากค่าย วอลท์ ดิสนีย์ ผลงานการกำกับโดย ร็อบ มาร์แชล ผู้เคยอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์มิวสิคัลรางวัลออสการ์ “ชิคาโก้” และภาพยนตร์โจรสลัดผจญภัยจากดิสนีย์เรื่อง “ไพเรทส์ ออฟ เดอะ คาริบเบียน ภาค 3” ร่วมด้วยการประชันกันครั้งแรกของสองสุดยอดนักแสดงมากฝีมือ อย่าง “Johnny Depp” ในบทบาทของหมาป่าจากนิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดง และ “Meryl Streep” ในบทบาทของแม่มด ผู้ที่ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในการเรียงร้อยเรื่องราวจากเหล่าเทพนิยายชื่อดังต่างๆ ภายใน “Into the woods” ไว้ด้วยกัน

         “Into the Woods” เป็นการนำเทพนิยายคลาสสิกมาเล่าใหม่แบบร่วมสมัยผสมกับความเป็นจริงที่ดูหม่นหมอง และการเล่าเรื่องในแบบฉบับมิวสิคัลทำให้ผู้ชมส่วนมากรู้สึกเพลิดเพลินไปได้มากกว่าปกติ การเล่าเรื่องของ Into the Woods นั้นมีการสลับการเล่าเรื่องระหว่างบทพูดและบทร้อง โดยผสานกับการที่ใช้ดนตรีแยกช่วงการร้องกับบทพูดที่บางครั้งก็ไม่ตัดกันจากเดิมเท่าไหร่ ว่ากันว่าเรื่องนี้โดนใจคอละครเวทีมิวสิคัลไม่ใช่น้อย เพราะได้อรรถรสการดูภาพยนตร์ในศาสตร์ใหม่อีกด้วย

 

4. Finders Keepers

         เป็นอีกเรื่องที่น่าสยองสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Finder Keepers ที่เป็นเรื่องราวของ แคลร์ที่ย้ายเข้ามาในบ้านหลังใหม่ที่ห่างจากเมือง ซึ่งบ้านนี้เคยเกิดเหตุฆาตกรรมลูกชายวัย 10 ปีของผู้เช่า คนก่อนหน้านี้

         โดยเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่มาจากช่อง Syfy เป็นการเดินเรื่องของแคลร์ หรือเจ้าของตุ๊กตาสยองขวัญ ที่ก่อนหน้านี้ เธอและแม่ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่พร้อมกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย

         นับเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ผู้กำกับใส่ปริศนาไว้เยอะจนทำให้คนดูลุ้นระทึก เพราะทำให้เราคาดเดากับเหตุการณ์สิ่งแฝงร้ายที่อยู่ตุ๊กตา

 

5. Big Hero 6

         ด้วยเรื่องราวอันน่าประทับใจและมุกตลกที่แฟน ๆ คาดหวังจาก วอลท์ ดิสนีย์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ สู่ภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยแฝงอารมณ์ขัน "Big Hero 6 - บิ๊กฮีโร่ 6" เรื่องราวของหนุ่มน้อยนักประดิษฐ์ ฮิโระ ฮามาดะ ที่กำลังเรียนรู้ถึงอัจฉริยภาพที่เขามี ต้องขอบคุณทาดาชิ พี่ชายที่ปราดเปรื่องของเขา รวมถึงเพื่อน ๆ อย่าง โก โก ทามาโกะ จอมไฮเปอร์, วาซาบิ โนะ-จินเจอร์ เจ้าระเบียบ, ฮันนี่ เลม่อน แม่มดเคมี, และแฟนบอย เฟรด เมื่อหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาและดึงพวกเขาเข้าไปสู่เรื่องราวสุดอันตรายที่เกิดขึ้นใน ซาน ฟรานโซเกียว ฮิโระ จึงต้องพึ่งหุ่นยนต์เพื่อนซี้ของเขาที่ชื่อ เบย์แมกซ์ และเปลี่ยนเพื่อน ๆ ของเขาให้กลายเป็นกลุ่มของฮีโร่สุดไฮเทคเพื่อคลี่คลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น

         Big Hero 6 เป็นหนังเด็กที่ทันสมัยและมีความวัยรุ่นสูง ที่สำคัญภาพ animation สวยงาม ละเอียด และมีชีวิตชีวาสมจริงมากๆ ส่วนการดำเนินเรื่องก็ฉับไว สนุก ดังนั้นแอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงป็นหนังการ์ตูนดิสนีย์ที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี โดนใจ และไม่น่าเบื่อ อย่างไรก็ดี Big Hero 6 ก็ยังแฝงข้อคิดสอนใจเด็กๆ ว่า ทุกๆ การแข่งขันหรือการต่อสู้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติปัญญา มิตรภาพ ทีมเวิร์ค และจิตใจที่ดีงามอย่างแท้จริง

 

6. Teenage Mutant Ninja Turtles

         เรื่องราวของ Teenage Mutant Ninja Turtles กล่าวถึงช่วงเวลาที่มหานครนิวยอร์กถูกครอบงำด้วยอำนาจชั่วร้ายของ เชร็ดเดอร์ จนกระทั่งความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นเมื่อพี่น้อง 4 คนค้นพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์และรวมตัวเป็นแก๊งนินจาเต่าในที่สุด โดยพวกเขาต้องร่วมมือกับนักข่าวสาวนามว่า เอพริล และตากล้องคู่ใจของเธอ เพื่อร่วมกันกอบกู้เมืองให้พ้นจากอันตรายและทำลายแผนการชั่วร้ายของ เชรดเดอร์ ให้ราบคาบ

         เต่านินจา ฉบับใหม่นี้ อาจจะมาค่อนข้างน้อย แต่เมื่อมาทีก็จัดได้ว่าค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อ และสามารถทำให้คนดูลุ้นตัวโก่งร่วมกันไปได้ เช่นกันกับด้านของมุกตลกสุดกวน ที่ยังเป็นอีกหัวใจของ เต่านินจา ทุกฉบับ โดยฉบับปี 2014 ที่ผ่านมา ถือว่ามุกตลกหลายมุกของมันเกิดขึ้นได้เพราะการแนะนำ 4 เต่าในฐานะมิตรที่น่าคบหา และกลุ่มเพื่อนที่คอยเล่าเรื่องโจ๊กให้ฟังอย่างฮากระจาย

 

7. Guardians Of The Galaxy

         จากมาร์เวล สตูดิโอส์ ผู้สร้างภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่บล็อคบัสเตอร์ที่ครองใจแฟน ๆ มาแล้วทั่วโลกอย่าง ไอรอนแมน, ธอร์, กัปตันอเมริกา และ ดิ อเวนเจอร์ส สู่ทีมนักสู้กลุ่มใหม่ "การ์เดียนส์ ออฟ เดอะ กาแล็กซี" มหากาพย์ภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยในห้วงอวกาศ มาร์เวลส์ การ์เดียนส์ ออฟ เดอะ กาแล็กซี ได้ขยายจักรวาลภาพยนตร์ของมาร์เวลสู่ห้วงอวกาศ

         Guardians Of The Galaxy หนังเล่นความย้อนแย้งในบริบทของตัวหนังมากพอสมควร จะเห็นได้จากความ “ไม่จริงจัง” ของบรรดาตัวเอกที่ติดเล่น ติดตลก ทำตัวโปกฮากันอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่บรรดาวายร้ายก็ค่อนข้างเคร่งขรึม ซีเรียส เอาเป็นเอาตายกันอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากฉากไคลแมกซ์ตอนท้ายเรื่องก็เรียกได้ว่าเป็นฉากที่ชวนเหวอรับประทานอ้าปากค้างไม่แพ้โรแนนกันเลยทีเดียว ซึ่งในช่วงแรกเริ่มเป้าหมายอาจจะเป็นแค่การกรุยทางเพื่อเปิดจักรวาลมาร์เวล แต่บัดนี้เราเชื่อว่าหนังเรื่องนี้กำลังสร้างฐานแฟนคลับกลุ่มใหม่ขึ้นมา

         Guardian of the Galaxy ถือเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ของ “Marvel” พอๆ กับตอน “Iron Man” ที่เป็นการเดิมพันว่า การลงมาทำหนังเองของ Marvel จะประสบความสำเร็จหรือป่าว

 

8. Lucy

         Lucy นักศึกษาสาวไร้ภาระ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวัน แต่แล้วเธอกลับโดนแฟนหนุ่มหลอกให้เป็นคนถือกระเป๋าไปส่งให้กับคู่ค้าธุรกิจ แต่ก่อนที่ลูซี่จะทันมองเกมออกว่าเธอโดนหลอกให้เข้าไปยุ่งกับเรื่องอะไร ลูซี่โดนมิสเตอร์จาง ผู้เหี้ยมโหดจับตัวไปเป็นตัวประกัน และเมื่อลูกน้องสุดชั่วของมิสเตอร์จาง ใส่สารสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์รุนแรงเข้าไปในตัวของลูซี่ ซึ่งเป็นสารที่สามารถฆ่าเธอได้ถ้าหากมันรั่วไหลจากสิ่งที่บรรจุมันเอาไว้ ความหวาดกลัวของลูซี่กลับกลายเป็นความสิ้นหวัง ลูซี่พร้อมเหยื่ออีกหลายรายถูกส่งตัวไปที่สนามบินเพื่อให้พวกเธอบินข้ามโลกไปพร้อมกับสินค้าที่มีมูลค่าสูงในตัว

         เปิดเรื่องแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่ Lucy ถูกแฟนคนปัจจุบันที่คบกันแค่เดือนเดียว หลอกให้ไปส่งกระเป๋าเอกสารใบนึงซึ่งเธอก็ไม่ได้อยากไปทำเลย แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจ ที่เป็นเหยื่อบ้าง ผู้ล่าบ้าง เหมือนกำลังจะเปรียบเปรยบางอย่าง โดยมีเรื่องของปรัชญาหรือเเนวคิดที่เป็นแกนหลักของเรื่องทีเดียว ส่วน Action นั่นเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อนำเสนอแนวความคิดต่างหาก ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นหนังแนวคิดอีกเรื่องที่อยากดูอีกซ้ำๆ

 

9. Hundred-Foot Journey

         The Hundred-Foot Journey เล่าถึงความแตกต่างทางวัฒธรรมอาหารการกินของคนสองชาติ อินเดียและฝรั่งเศส หลังจากฝ่ายแรกระหกระเหินออกจากบ้านเกิด เป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ในมหานครลอนดอน ก่อนจะตัดสินใจตระเวนยุโรปอีกครั้งและไปจบที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ลงหลักปักฐานด้วยการเปิดร้านอาหารอินเดีย แต่ก็ดันไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านอาหารพื้นเมืองชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากผู้คนมากมาย แม้แต่รัฐมนตรียังเดินทางมารับประทานอาหารที่นี่ ความน่ารักในหนังเกิดขึ้นตั้งแต่นาทีแรกที่เล่าถึงแรงบันดาลใจในความรักการปรุงอาหารของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และเรื่องราวหลังจากนั้นก็ดูจะสร้างรอยยิ้มที่มุมปากให้เกิดขึ้นได้เป็นระยะๆ

 

10. Annie

         Annie นั้นเป็นเรื่องราวของเด็กหญิงผิวขาว ซึ่งผู้คนมากมายมักจะมีภาพจดจำว่าหนูน้อยแอนนี่จะหัวฟู ใส่ชุดสีแดง เธอเป็นเด็กกำพร้าที่มองโลกในแง่ดีและไม่ย่อท้อต่อชะตากรรมของตัวเอง แต่ทว่าการดัดแปลงผลงานในปี 1982 ให้กลายเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่กำลังจะออกฉายในช่วงสิ้นปีนี้ก็โดนโจมตีถึงการเปลี่ยนบริบทและตัวเอกให้กลายเป็นนักแสดงเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน (และเดินเรื่องด้วยนักแสดงผิวสี) ทำให้คนกลุ่มอนุรักษ์นิยมเกิดอาการรับไม่ได้กันเป็นจำนวนไม่น้อย

 

11. Unbroken

         Unbroken (2014) หนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ หลุยส์ แซมปิรินี่ ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยาย เรื่องราวการต่อสู้ของเขาแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ช่วงแรกคือการเปลี่ยนจากเด็กเหลือขอมาเป็นนักกรีฑาที่ยิ่งใหญ่ ในส่วนนี้ถูกนำเสนออย่างง่าย ๆ ให้เห็นถึงความพยายามที่จะเป็นคนดีของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นการปูเรื่องราวของเขาเท่านั้น หลังจากนั้นเป็นการเอาตัวรอดหลังจากเครื่องบินประจำการของเขาประสบอุบัติเหตุตกลงกลางมหาสมุทร และพวกเขาต้องใช้เวลาถึง 47 วันกับการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ความเข้มข้นของหนังคือการเอาตัวรอดให้ได้เมื่อหลุยส์ต้องตกมาเป็นเชลยศึกในค่ายกักกันของญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย

 

12. Purge: Anarchy

         จากความสำเร็จในภาคก่อนของภาพยนตร์ทริลเลอร์ม้ามืดแห่งปี 2013 ที่ช็อกบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกา ด้วยรายได้เปิดตัวอันดับ 1 มากกว่า 1,000 ล้านบาท ปีนี้ The Purge : Anarchy หรือ คืนอำมหิต : คืนล่าฆ่าไม่ผิด กลับมาอีกครั้ง โดยมือเขียนบท/ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง เจมส์ เดอโมนาโก ร่วมกับเจสัน บลูม (Paranormal และแฟรนไชส์ Insidious) ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงานชำระบาปประจำปี ระทึกขวัญไปกับ 12 ชั่วโมง ซึ่งอาชญากรรมทุกประเภท รวมถึงฆาตกรรมกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ค่ำคืนพลเมืองปลดปล่อยตัวตนโดยไม่คำนึงถึงบทลงโทษ สภาพบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะไร้กฎหมาย

         The Purge: Anarchy คืนอำมหิต คืนล่าฆ่าไม่ผิด คนละแนวกับภาคแรกโดยสิ้นเชิง จากการหลบอย่างสงบในบ้านย่านเศรษฐีแล้วโดนบุกจนต้องต่อสู้เพื่อปกป้องครอบครัว กลายเป็นการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจากวันนรกแตก ในใจกลางเมืองจากกลุ่มผู้ล่า แต่ยังคงจิกกัดเรื่องสังคมแบ่งแยกชนชั้นรายได้เหมือนเดิม ภาคนี้หนัง มันส์ขึ้น เพราะสู้กันทั้งเรื่อง ในสถานการณ์ที่หลากหลาย ได้ลุ้นกันตลอดทั้งเรื่องเลย ทั้งในเรื่องว่าจะรอดกันไหม

 

13. Ouija

         "ใช่" "ไม่ใช่" "ลาก่อน" ถ้อยคำเหล่านี้ที่ถูกพิมพ์ลงบนกระดานเรียกผี (วีจี) สุดคลาสสิกดูเหมือนเป็นถ้อยคำธรรมดา แต่ฮาโลวีนนี้ ทุกคนจะได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าวิญญาณผีร้ายไม่ยอมพูดคำว่า "ลาก่อน"

         ‘Ouija’ หนังสยองขวัญที่นิยมใช้เทคนิคประโคมเสียงซาวน์เอฟเฟคโครมครามมากๆ ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ใช้ได้พอสมควรกับการใช้เทคนิคนี้ในการเร้าอารมณ์คนดู ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญที่ค่อนข้างทำได้ดีกับมุกผีตุ้งแช่ เพราะทำให้เราสะดุ้งได้อยู่หลายหนอีกด้วย แถมข้อดีของมันคือหนุ่มๆ คนไหนอยากเห็นสาวตกกะใจกับฉากผี ลองใช้เรื่องนี้รับรองสำเร็จแน่

 

14. The Boxtrolls

         The Boxtrolls (เดอะ บ็อกซ์ โทรลล์) แอนิเมชั่น/สต็อปโมชั่น เรื่องใหม่จาก Focus Features และ Laika Studios โดยสองผู้กำกับ แอนโทนี สตาร์ชชี่ (Anthony Stacchi) และ เกรแฮม แอนนาเบล (Graham Annable) พร้อมทีมงานผู้สร้าง ParaNorman ที่มาช่วยสร้างสีสัน โดยหนังได้ เบน คิงสลี่ย์ (Ben Kingsley), ไอแซค เฮมพ์สตีด-ไรท์ (Isaac Hempstead-Wright), แอลล์ แฟนนิง (Elle Fanning), จาเรด แฮร์ริส (Jared Harris), โทนี่ คอลเล็ตต์ (Toni Collette), นิค ฟรอสท์ (Nick Frost), ริชาร์ด เอโยอาเด (Richard Ayoade), ทรซีย์ มอร์แกน (Tracy Morgan) และ ไซมอน เพกก์ (Simon Pegg) มาให้เสียงพากย์

         The Boxtrolls เป็นภาพยนตร์อนิเมชันลูกผสมระหว่าง 3D สต็อปโมชันและ CG ที่สร้างจากนิยายแฟนตาซีผจญภัย เป็นเรื่องราวขำขันที่เกิดขึ้นในชีสบริดจ์ เมืองงดงามในยุควิตอเรีย ที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของความมั่งคั่ง ชนชั้น และชีสชั้นเลิศที่หอมหวลที่สุด ภายใต้ถนนก้อนกรวดที่น่ารักนี้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกบ็อกซ์โทรลล์

         สรุปสั้นๆ เรื่องนี้เป็นอนิเมชั่น Stop-motion ที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ทำออกมาได้สนุกดูเพลินตลอดทั้งเรื่องอีกด้วย

 

15. Blackhat

         BLACKHAT เป็นหนังเกี่ยวกับ hacker หรือ cyberterrorism ซึ่งเข้าฉายช่วงที่หนังเรื่อง The Interview ของ Sony ถูกเกาหลีแฮ็คไปปล่อยพอดี เรื่องของเรื่องเกิดจากวงการหุ้นปั่นป่วนเพราะมีอาชญากรออนไลน์ แฮ็คข้อมูลจนตลาดหุ้นผันผวน อเมริกากับจีนร่วมมือกันตามล่าหาแฮ็คเกอร์คนนั้น นำโดย Chen Dawai (Leehom Wang) และ Barrett (Viola Davis)

         Chen Dawai เชื่อว่าหนึ่งเดียวที่จะช่วยจับคนร้ายคดีนี้ได้ มีแต่ Nicholas Hathaway (Chris Hemsworth จาก Thor และ Rush) ซึ่งเป็นแฮ็คเกอร์ที่เก่งมากและเป็นรูมเมทของเขาสมัยเรียนอยู่ที่ MIT แต่อุปสรรคคือ Nick ถูกจำคุกข้อหาแฮ็คเกอร์อยู่ Nick จึงได้รับข้อเสนอแลกเปลี่ยนว่า ถ้าช่วยทางการสำเร็จ เขาก็จะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ แล้วนอกจากนี้ ระหว่างปฏิบัติภารกิจ Nick กับ Chen Lien (Wei Tang) น้องสาวของ Chen Dawai ยังตกหลุมรักกันอีกด้วย

 

สำหรับ 15 หนังที่มานำเสนอกันมานี้ เป็นแค่น้ำย่อยเท่านั้น หากใครเป็นคอหนังจริงๆ บอกเลยไม่ควรพลาด

 

ขอขอบคุณที่มา  www.postjung.com

 

 

.



Latest





เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ “นโยบายการใช้คุกกี้”   ยอมรับ   นโยบายการใช้คุกกี้ X