อะแฮ่มๆ เปิดตัวกันไปได้สักพักแล้ว สำหรับ iPhone รุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 11 ที่ผนึกกำลังควงคู่มากับพี่ 11 Pro และ 11 Pro Max ซึ่งวันนี้ทางเราจะขอพาทุกคนร่วมย้อนอดีตไปในปี พ.ศ. 2550 ปีแรกที่เจ้า iPhone ได้ถูกเปิดเผยหน้าตาสู่สาธารณะชนเป็นครั้งแรก ก่อนจะไล่เรียงตามลำดับเวลามาจนถึง iPhone 11 ที่เพิ่งเปิดตัวไปในวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ว่าจะมีพัฒนาการเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน มาดูไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่าา
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2550 เป็นวันที่ iPhone 2G สมาร์ทโฟนเครื่องแรกจาก Apple ได้ถูกเปิดตัวต่อหน้าสาธารณะชนเป็นครั้งแรก ด้วยคุณสมบัติที่แปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน อาทิ การสัมผัสหน้าจอแสดงผลได้ รวมทั้งตัวเครื่องที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่แปลก และใหม่มากสำหรับคนในยุคนั้น
และด้วยความที่ทาง Apple ยังไม่ได้ตีตลาดไอโฟนอย่างเต็มรูปแบบ จึงทำให้ประเทศไทยของเราไม่ได้รับความนิยมในการซื้อเจ้า iPhone 2G นี้มาใช้กันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เครื่องที่ใช้กัน ก็มักจะเป็นเครื่องที่รับหิ้วต่อกันมาอีกที ใครที่มีโทรศัพท์ iPhone 2G ใช้ในยุคนั้นถือว่าคุณมีแรร์ไอเทมมากๆ เลยนะ
สมาร์ทโฟนรุ่นที่ 2 ของ Apple หลังจากการเปิดตัว iPhone 2G นั้นได้ถูกตั้งชื่อว่า iPhone 3G โดยเจ้า iPhone 3G เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการเปิดตัวของรุ่นที่ 2 นี้ เป็นการปรับปรุงและพัฒนามาจากข้อด้อยของ iPhone 2G พร้อมกับการเปิดตัวของ App Store ดิจิตอลแพลตฟอร์ม ที่พัฒนาและปรับปรุงโดย Apple ไปพร้อมๆ กันอีกด้วย
โดยจุดเด่นที่แตกต่างของ iPhone 3G ที่เห็นได้ชัดมากๆ เลยก็คือ เป็นสมาร์ทโฟนที่สนับสนุนการเชื่อมต่อโครงข่าย 3G เป็นครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อโลกอินเตอร์เน็ตได้ตามที่ต้องการ แถมยังเพิ่มความโดดเด่นน่าสนใจด้วยบอดี้เครื่องสีขาวและสีดำ ทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสที่จะได้เลือกสีที่ตนเองพึงพอใจใช้อีกด้วย
ดำเนินมาถึงรุ่นที่ 3 ของสมาร์ทโฟนในตระกูล iPhone อย่างเจ้า iPhone 3GS โดยตัวอักษร S ที่เพิ่มต่อท้ายคำว่า 3G นั้น แท้จริงแล้วมีความหมายมาจากคำว่า Speed หรือความเร็ว ที่ถือว่าเป็นคุณสมบัติหลักๆ ของ iPhone รุ่นนี้ เพราะทาง Apple ได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ ทั้งการเปลี่ยนชิป, แรม รวมถึงการเปลี่ยนแผงหน้าจอแสดงผลใหม่ อัปเกรดความละเอียดของกล้องจาก 2 ล้านพิกเซลเป็น 3 ล้านพิกเซล รวมทั้งความละเอียดในส่วนของการบันทึกวิดีโออีกด้วย
iPhone 3GS รุ่นนี้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีดีไซน์ที่คล้ายกันกับ 2 รุ่นที่ผ่านมา แต่ระบบภายในนั้นได้รับการอัปเกรดให้มีประสิทธิภาพมากกว่า 2 รุ่นที่ผ่านมามากๆ และแอดเองก็เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงจะเคยใช้เจ้า iPhone 3GS กันใช่ม้าา ของแอดก็มีเหมือนกันนะ คริๆ
หลังจากการเปิดตัวของ iPhone 2G, 3G และ 3GS ไป ทางทีม Apple ก็ได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการของเจ้าสมาร์ทโฟนในตระกูล iPhone นี้อยู่ตลอดเวลา จนดำเนินมาถึงรุ่นที่ 4 อย่าง iPhone 4 ที่ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานด้านมัลติมีเดียมากยิ่งขึ้น พร้อมกับการออกแบบตัวเครื่อง ที่มีการออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด นับตั้งแต่วัสดุที่ใช้, โครงสร้างที่มีความเป็นเหลี่ยมมากขึ้น รวมทั้งกระจกหน้าจอสัมผัส ที่มีความแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
นอกจากนั้น iPhone 4 ยังเป็น iPhone รุ่นแรกที่ใช้งานชิปที่ผลิตขึ้นโดย Apple หลังจากที่ใช้งานชิปจาก Samsung ในรุ่นก่อนๆ อีกทั้งยังเพิ่มกล้องหน้าขึ้นมาอีกหนึ่งตัว รวมทั้งหมดคือมีกล้องทั้งหมด 2 ตัว คือด้านหน้า 1 ตัวและด้านหลัง 1 ตัว ตอบโจทย์คนรักการถ่ายภาพตัวเองเป็นที่สุด
และนอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนคุณสมบัติทั้งในเรื่องของวัสดุ โครงสร้าง และระบบภายในแล้ว จุดเด่นอีกหนึ่งอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ ฟีเจอร์ FaceTime ที่เป็นการสนทนาแบบเห็นหน้ากันได้ ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ใหม่เอามากๆ เลยกลายเป็นว่าหลังจากการเปิดตัวของ FaceTime แอปวิดีโอคอลหลายต่อหลายตัว ก็ทยอยเปิดตัวมารองรับคุณสมบัตินี้กันยกใหญ่
iPhone 4S เปิดตัวหลังจาก iPhone 4 ไปได้ไม่นาน โดยคุณสมบัติทั่วๆ ไป ก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากเท่าไหร่นัก ที่เด่นสะดุดตามากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นฟังก์ชั่นที่มีชื่อว่า Siri ที่ผู้ใช้งานสามารถสั่งการได้ด้วยเสียง ทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเราระหว่างการใช้งาน iPhone นั่นเอง
หลังจากที่ผู้คนรู้จักกับ iPhone มาได้สักพัก คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันกับตัวเครื่องที่มีความหนาประมาณหนึ่ง โดย iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone 5 นี้ได้พัฒนาดีไซน์ของตัวเครื่องให้มีขนาดที่บางลง แต่ก็มาพร้อมกับขนาดของหน้าจอที่กว้างขึ้นเป็น 4 นิ้ว เพื่อรองรับการใช้งาน และความต้องการที่มากขึ้น แถมวัสดุที่ใช้นั้นก็ยกระดับความแพงของเจ้า iPhone ได้แบบชนะขาดลอย ส่งผลทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ อีกเยอะมากเลยทีเดียว
เปิดตัวพร้อมกันสำหรับ iPhone 5S และ 5C และถึงแม้ว่าจะเปิดตัวพร้อมกัน แต่คุณสมบัติของพี่เค้าก็ต่างกันอยู่พอสมควรนะจ๊ะ มาเริ่มกันที่ 5S กันก่อน สำหรับ iPhone 5S นี้ คุณสมบัติอันโดดเด่นของเค้านั้นอยู่ตรงที่ ความสามารถในการบันทึกวิดีโอที่มากขึ้น มาพร้อมกับโหมด Slow Motion เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังมี Dual Flash LED ที่มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มแสงให้เราเวลาถ่ายรูปตอนกลางคืนได้ แต่ที่เห็นโดดเด่นสะดุดตามากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นระบบ Touch ID เทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น
ส่วนน้อง 5C ก็มาแรงไม่แพ้กัน เพราะทาง Apple ได้เคลมตำแหน่งของน้องเค้าเอาไว้ว่าเป็น iPhone รุ่นประหยัดที่มาพร้อมกับฝาหลังจำนวน 5 สี โดยสเปคเครื่องนั้นเป็นแบบเดียวกันกับ iPhone 5 เด๊ะๆ เพียงแต่ใช้วัสดุตัวเครื่องที่เป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตทั้งหมด อ่ะๆ แต่รุ่น 5C นี้ยังไม่รองรับระบบ Touch ID เหมือนพี่ 5S เค้าน้าา
กลับมาทั้งที จะกลับมาแบบธรรมดาๆ ได้ยังไง คราวนี้พี่ iPhone 6 จัดให้ เปลี่ยนใหม่มันแทบจะทุกอย่างกันไปเลย โดย iPhone 6 และ 6 Plus นั้นได้รับการพัฒนาต่อยอดให้มีขนาดของหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม อย่างเจ้า iPhone 6 นั้นมีหน้าจอแสดงผล 4.7 นิ้ว ส่วน 6 Plus นำลิ่วไปที่ 5.5 นิ้วกันเลย
นอกจากคุณสมบัติโดดเด่นเรื่องของหน้าจอแสดงผลแล้ว iPhone 6 และ 6 Plus ยังมีหน่วยประมวลผลที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อน ด้วยชิปเซ็ตรุ่นใหม่อย่าง A8 แถมยังมีการปรับปรุงให้เชื่อมต่อ Wi-Fi ได้เร็วขึ้น โดยสองรุ่นนี้มีคุณสมบัติภายในที่แอบจะคล้ายคลึงกันอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ขนาดเท่านั้นเองจ้า
หลังจาก Apple ประสบความสำเร็จกับ iPhone 6 และ 6 Plus ไป ก็ได้สานต่อผู้นำร่องคนใหม่อย่าง iPhone 6S และ 6S Plus ทันที สำหรับรุ่นนี้มีความโดดเด่นก็ตรงที่มีการเพิ่มสีทองกุหลาบ หรือ สีโรสโกลด์ เข้าไป เลยทำให้เหล่าสาวกตื่นอก ตื่นใจเป็นแถบๆ ไปเลย
และสำหรับการออกแบบภายนอกก็ยังคงถือว่าคล้ายคลึงกับรุ่นเดิมอยู่ ที่เด่นสะดุดตาเห็นจะเป็นในส่วนของระบบภายใน ที่ถือว่ายกคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเข้ามา นั่นก็คือ ระบบสัมผัสแบบ 3D Touch นั่นเอง
ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ เลยก็คือ iPhone SE รุ่นนี้ มีโครงสร้างการออกแบบที่เหมือนกับ iPhone 5S ทุกอย่าง แต่คุณสมบัติภายในได้เป็นการหยิบเอาคุณสมบัติของเจ้า 6S มาใส่ไว้นั่นเอง และถึงแม้ว่าจะมีขนาดหน้าจอแสดงผลที่เล็กเพียงแค่ 4 นิ้ว แต่คุณสมบัติภายในของน้องเค้าไม่ได้เล็กตามไปด้วยเลยนะจ๊ะ
เอาใจสายชอบถ่ายภาพใต้น้ำเอามั่กๆ สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 14 และ 15 จาก Apple โดยคุณสมบัติอันโดดเด่นสำหรับสองรุ่นนี้ อย่างที่แอดได้เกริ่นกันไปแล้วในหัวข้อว่านางสามารถกันน้ำได้ แต่เงื่อนไขของการกันน้ำนั้นก็คือ นางจะสามารถกันน้ำได้ในระดับความลึกไม่เกิน 1 เมตร เป็นระยะเวลาต่อเนื่องไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น ใครที่กะว่าจะกันได้ยาวๆ ทางเราบอกเลยว่าไม่ได้นาจาา
นอกจากคุณสมบัติที่กันน้ำแล้ว พี่เค้ายังสามารถป้องกันฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP67 ด้วย แถมยังปรับปรุงกล้องถ่ายรูปด้านหน้าให้มีความละเอียดมากขึ้น ส่วนกล้องหลังมีความละเอียดเท่ากับ iPhone 6S เดิม แต่เพิ่มเติมคือมีการเพิ่มเลนส์สำหรับถ่ายภาพเข้าไปอีก 6 ชิ้น เรียกได้ว่าคุ้มจุกๆ ไปเลยสำหรับสองรุ่นนี้
เรียกได้ว่าจุดเด่นของ 2 รุ่นนี้นั้นอยู่ตรงที่คุณสมบัติที่ช่วยในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานที่แท้ทรู เพราะถึงแม้ว่าคุณสมบัติภายนอกอื่นๆ อย่างโครงสร้าง และรูปแบบของตัวเครื่องจะเหมือนกับ iPhone 7 และ 7 Plus เดิม แต่สิ่งที่ต่างออกไปนั่นก็คือ การเพิ่มความแข็งแรงให้กระจกด้านหน้าและด้านหลังของตัวเครื่อง ทำให้มีความทนทานมากขึ้น ผนวกกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง การชาร์จแบบไร้สาย เลยทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้กินขาดในเรื่องของความสะดวกในการใช้งานกันไปเลย
iPhone X ถูกยกให้เป็นสมาร์ทโฟนระดับ Hi-End ตัวท็อปที่แท้ทรู เพราะพี่เค้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยหลายฟังก์ชั่น อาทิเช่น การตัดปุ่มด้านหน้าของเครื่องออกไป เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานหน้าจอแสดงผลให้มากยิ่งขึ้น, มีกล้องหลังคู่เป็นรุ่นแรก, มีเทคโนโลยีจดจำใบหน้า และเป็นผลพ่วงทำให้เกิดเป็นระบบ Face ID หรือการปลดล็อคด้วยใบหน้าขึ้นมา แถมยังเอาใจสายถ่ายภาพด้วยฟีเจอร์อีกมากมายนับไม่ถ้วน! คุณสมบัติแน่นขนาดนี้ จะไม่เรียกพี่ว่าตัวท็อปได้ยังไงง
เขยิบเข้ามาใกล้กันอีกนิด กับ iPhone XS และ XS Max ที่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน ปีที่ผ่านมา กับคำเคลมว่าจอภาพนั้นสามารถแสดงผลได้ดีที่สุด และมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ iPhone เคยมีมาก่อน โดยจอภาพนั้นเป็นจอภาพแบบ Super Retina ที่ให้ภาพที่สวยงามคมชัด และพัฒนาระบบกล้องคู่หลังให้มีคุณสมบัติที่ล้ำมากยิ่งขึ้น แถมยังมี Face ID ที่เร็วขึ้นอีกด้วย
ห่างหายกันไปนานกับ iPhone ที่มีสีสันโดดเด่นสะดุดตา ซึ่ง iPhone XR นี้ก็มีสีให้เลือกแบบจุกๆ ถึง 6 สี ได้แก่ ขาว, ดำ, ฟ้า, เหลือง, ส้มคอรัล และแดง โดยมีความจุให้เลือกกัน 2 ขนาดคือ 64 GB และ 128 GB มาพร้อมกับจอแสดงผลที่มีขนาดอยู่ตรงกลางระหว่าง XS และ XS Max ที่ 6.1 นิ้ว ดีไซน์มีความใกล้เคียงกับ XS และ XS Max อยู่ แต่มาในราคาที่ย่อมเยาว์กว่า เลยทำให้คนที่คิดจะเลือกซื้อ iPhone ในช่วงนั้นเกิดความสับสนลังเลใจ จะ XS หรือจะ XR รุ่นนี้กันดี สุดท้ายแล้วเลือกอะไรกัน ไหนคอมเมนต์บอกแอดกันหน่อยซิ
เปิดตัวกันไปได้ไม่นานเองจ้า สำหรับ iPhone 11, 11 Pro และ 11 Pro Max และถึงแม้จะเปิดตัวไปได้ไม่นาน แต่ก็สามารถเรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าสาวกกันได้มากจริงๆ ไหนจะตั้งแต่สีที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่าง Midnight green ไหนจะมีพลังของกล้องหลังถึง 3 ตัว และไหนจะมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Deep Fusion ที่เราสามารถถ่ายภาพพร้อมกันได้ถึง 9 ภาพอีก แอดบอกเลยว่าแอดคนนึงนี่แหละที่อยากได้เอามากๆ
โดยคุณสมบัติอันโดดเด่นของ iPhone 11, 11 Pro และ 11 Pro Max นี้ แอดได้ทำการรวบรวมและสรุปเอาไว้ให้แล้วที่ 5 จุดเด่นสุดล้ำใน iPhone 11 สมาร์ทโฟนแห่งยุค ใครที่สนใจ สามารถคลิกเข้าไปอ่านกันได้นะ
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก เว็บ ปันโปร
เว็บแจ้งข้อมูล โปรโมชั่น และ สินค้า ลดราคา มาให้คุณ